Article Old
10 อย่างที่ "ควรโยนทิ้ง" แล้วชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น ได้แก่ ทิ้งความอิจฉา, ทิ้งความกลัวที่จะเปลี่ยน, ทิ้งความคิดที่ว่าสาารถควบคุมทุกอย่างบนโลกได้, ทิ้งการทำงานที่มากเกินไป, ทิ้งการโทษคนอื่น, ทิ้งการ..
10 อย่างที่ "ควรโยนทิ้ง" แล้วชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น
1. ทิ้ง "ความอิจฉา" เมื่อคุณเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ มันจะดีก็ต่อเมื่อ มันเป็นแรงบันดาลใจให้คุณในการแข่งขัน และพัฒนาตัวเอง แต่มันจะเริ่มไม่ดี ถ้าความสำเร็จของคนอื่นทำให้คุณรู้สึกริษยา และไม่สามารถยินดีกับคนนั้นได้ นี่จะทำให้คุณทุกข์เอง
2. ทิ้ง "ความกลัวที่จะเปลี่ยน" หลายๆ ครั้ง แม้สถานการณ์ปัจจุบันมันจะแย่แค่ไหน คนเราก็ไม่อยากที่จะเปลี่ยน กลัวที่จะเปลี่ยน เพราะกลัวสิ่งใหม่ มากกว่า แต่คุณหารู้ไม่ว่า บางที่สิ่งใหม่มันอาจจะดีกว่าสิ่งที่คุณเจออยู่มากมายก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น กล้าที่จะเปลี่ยนเถอะ
3. ทิ้ง "ความคิดที่ว่าสามารถควบคุมทุกอย่างบนโลกได้" คนจำนวนไม่น้อย ชอบความเป๊ะ ชอบให้ทุกอย่างอยู่ในความควบคุม เป็นไปตามแผน แต่พอมันไม่เป็นไปตามนั้น ก็จะทุกข์ เพราะฉะนั้น ปล่อยวาง ทำให้เต็มที่ ผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็รับมันซะ ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้หมดจริงๆ หรอก
4. ทิ้ง "การทำงานที่มากเกินไป" เพื่อความสำเร็จ เพื่อหน้าที่การงาน หรือเพื่อเงิน ทำให้หลายๆ คนทำงานหนัก หนักเกินกว่าที่ควรจะเป็น เพิกเฉยความสำคัญของสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิต นี่ไม่ควรเลย เพราะสุดท้าย เมื่อคุณสำเร็จจริงๆ คุณจะเสียดายในหลายๆ อย่างที่คุณเสียไป และเอากลับคืนมาไม่ได้ อย่างเช่น เวลา หรือครอบครัว
5. ทิ้ง "การโทษคนอื่น" หลายๆ คน เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น จะต้องหาสิ่งของ หรือ คนมารับผิดชอบให้ได้ ต้องโทษนู่น โทษนี่ตลอดเวลา เปลี่ยนจากแบบนั้น มาเป็นการนั่งมองที่ปัญหา และช่วยกันแก้ไขดีกว่านั้น
6. ทิ้ง "การบ่นตลอดเวลา" แทนที่จะบ่น ตำหนิ เรื่องไม่ดี ที่ไม่ได้ดั่งใจเราตลอดเวลา เปลี่ยนมุมมองใหม่ เป็นการตั้งสติ มองว่าปัญหานี้เกิดจากอะไร และแก้ไขอย่างไร แบบนี้คุณจะมีความสุขขึ้นเยอะเลย
7. ทิ้ง "ความคิดที่ว่าจะต้องถูกเสมอไป" สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ไม่มีใครเก่งไปทุกเรื่อง การที่ต้องมานั่งเครียด กลัวว่าเราจะไม่ “สมบูรณ์แบบ” นั้น มันทำให้คุณไม่มีทางมีความสุขได้เลย ปล่อยวาง และยอมรับในธรรมชาติของมนุษย์เสียเถอะ
8. ทิ้ง "ความคิดที่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง" บางคนมักมีความเชื่อที่ว่า เราทำนู่นไม่ได้ ทำนี่ไม่ได้ เราทำได้แค่นี้แหละ พอแล้ว ความคิดเหล่านี้ เป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดในชีวิต ที่จะทำให้เราไม่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก หรือท้าทายไปสู่ความสำเร็จจริงๆ
9. ทิ้ง "เพื่อนแย่ๆ" มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้างค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้น อยากเป็นคนแบบไหน การคบเพื่อนคือเรื่องสำคัญ ถ้าเพื่อนดี คุณก็ดีไปด้วย ถ้าเพื่อนไม่ดี คุณก็พลอยแย่ไปด้วยนั่นเอง
10. ทิ้ง "อดีต" อดีต คือประสบการณ์ที่มีทั้งดี และไม่ดี มันคือสิ่งที่สร้างตัวตนของเราขึ้นมา แต่มันไม่ควรเป็นสิ่งที่รวบรวมความเสียใจในอดีต และทำให้คุณก้าวไปไหนไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้ามันเป็นแบบนั้น ปล่อยวาง และทิ้งมันไปบ้างก็ได้
ข้อมูล: Fc นิรุตติ์ ศิริจรรยา
ด้วยลักษณะการใช้รถของหลายๆคนนั้น มักจะมีการทำกิจกรรมอื่นๆบนรถไปด้วยในระหว่างการเดินทาง ซึ่งหลายๆคนที่อาจจะเวลาค่อนข้างจำกัดและต้องเร่งรีบอยู่เสมอ ก็มักจะทานอาหารบนรถไปด้วย แต่หารู้ไม่ว่าจุดเริ่มต้นที่
ทำไมเราจึงไม่ควรกินอาหารบนรถ?
ด้วยลักษณะการใช้รถของหลายๆคนนั้น มักจะมีการทำกิจกรรมอื่นๆบนรถไปด้วยในระหว่างการเดินทาง ซึ่งหลายๆคนที่อาจจะเวลาค่อนข้างจำกัดและต้องเร่งรีบอยู่เสมอ ก็มักจะทานอาหารบนรถไปด้วย แต่หารู้ไม่ว่าจุดเริ่มต้นที่หลายคนมองข้ามเพียงเท่านี้ ก็สามารถที่สร้างปัญหาที่ใหญ่โตได้
เศษอาหารที่ตกหล่นอยู่ภายในรถโดยที่เราไม่เห็นและไม่ได้กำจัดออกไปนั้น ถือเป็นอาหารสำหรับเหล่ามดทั้งหลายแหล่ ซึ่งเพียงแค่มดที่อาจดูเหมือนจะไม่ได้อันตรายเท่าไหร่ต่อการใช้รถนั้น แต่หากพวกมันขึ้นมาทำรังบนรถของเราอาจทำให้มีปัญหาตามมา เช่น หากไปทำรังในแผงวงจรควบคุมต่างๆของชิ้นส่วนภายใน อาจทำให้ช็อตหรือไหม้จนไม่สามารถใช้งานได้ หากทำรังในช่องแอร์ก็อาจจะทำให้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เปิดแอร์ออกมาแต่ละทีก็มีแต่มดปลิวว่อนออกมา
โดยธรรมชาติของมดนั้นเป็นสัตว์ที่จะอยู่รวมกันเป็นฝูง แต่มันก็ไม่จำเป็นว่าต้องทำรังอยู่แค่ตามธรรมชาติเท่านั้น มันสามารถเข้ามาทำรังได้ทั้งในบ้าน ในรถของเรา ซึ่งสาเหตุหลักที่ชักชวนให้มดมันเข้ามาทำรังในรถของเรา ก็คือพวกเศษอาหารที่ค้างอยู่ภายในรถของเรานั่นแหละ
และก่อนที่เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ บานปลาย เราจึงมีวิธีแนะนำ ป้องกันเพื่อกำจัดมดออกจากรถมาเสนอ
1. ล้างรถและดูดฝุ่น วิธีนี้เป็นการดูแลสภาพรถโดยพื้นฐานอยู่แล้ว การล้างรถและดูดฝุ่นภายในห้องโดยสารเป็นประจำ ที่นอกจากจะเป็นการรักษาสีของรถเรา ทำให้รถเราดูสวยเงางามอยู่ตลอดแล้ว ยังเป็นการทำความสะอาดพวกเศษอาหารที่จะดึงดูดให้เหล่ามดมาทำรังบนรถเรา และนี่คือวิธีง่ายๆที่เราควรทำอยู่เสมอ
2. ยาฆ่าแมลง หากสังเกตได้ว่ารถของเราเริ่มมีปัญหาเรื่องมดอย่างจริงจัง เช่น การทำน้ำหวานหก หรือมีเศษอาหารตกอยู่เพียงเวลาไม่นาน ก็มีมดออกมาแล้ว สันนิษฐานได้เลยว่าอาจจะมีมดขึ้นมาทำรังบนรถของเราแล้ว สิ่งที่ควรทำคือการฉีดยาฆ่าแมลงในห้องโดยสารและปิดประตูทิ้งไว้สัก 30 นาที เพียงเท่านี้พวกบรรดามดที่ทำรังอยู่ภายในก็คงไม่เหลือแล้ว
3. ใช้การวางกับดัก แต่ถ้าบางครั้งแล้วการฉีดยาฆ่าแมลงแล้วยังไม่หายจริงๆ อาจจะต้องใช้วิธีขั้นเด็ดขาดในการจัดการกับเหล่ามด คือการวางยากำจัดมดไว้สักระยะ เพื่อเป็นการกำจัดมดทุกตัวในลังเพื่อให้หมดไปจริงๆ ไม่ให้มาแพร่ลูกแพร่หลานมายุ่งกับรถเราได้อีก
แม้วิธีในการกำจัดมดเหล่านี้จะไม่ใช่เรื่องที่ยากก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญและควรปฏิบัติในการใช้งานรถของเรา ก็คือการรักษาความสะอาดภายในรถ เพื่อป้องกันปัญหาอื่นๆที่อาจจะเกิดขึ้นลุกลามตามมาในภายหลัง
ข้อมูล: https://www.autodeft.com/
กระทรวงในประเทศไทย เป็นหน่วยงานของรัฐบาลไทย จัดตั้งขึ้นโดยการตราพระราชบัญญัติ ปัจจุบันมีกระทรวงหรือเทียบเท่าจำนวนทั้งสิ้น 20 กระทรวง (เมื่อปี พ.ศ.2562)
รายชื่อกระทรวงทั้งหมดในประเทศไทย
ประวัติกระทรวง
การบริหารแผ่นดินในต้นรัตนโกสินทร์นั้น คงดำเนินตามแบบที่ได้ทำมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ผิดแต่ว่ามีกรมต่างๆ เพิ่มขึ้นบ้าง แต่หลักของการบริหารนั้น คงมีอัครมหาเสนาบดี 2 ตำแหน่ง คือ สมุหกลาโหม ว่าการฝ่ายทหาร สมุหนายก ว่าการพลเรือน ซึ่งแบ่งออกเป็นกรมเมืองหรือกรมนครบาล กรมวัง กรมคลัง และกรมนา
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงบรรลุนิติภาวะเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติด้วยพระองค์เองเมื่อปี พ.ศ.2416 นั้น เนื่องจากพระองค์ได้เสด็จต่างประเทศดูแบบแผนการปกครองที่ชาวยุโรป นำมาใช้ในสิงคโปร์ ชวา และอินเดียแล้ว ทรงพระราชปรารภว่า สมควรจะได้วางระเบียบราชการ บริหารส่วนกลางเสียใหม่ตามแบบอย่างอารยประเทศ โดยจัดจำแนกราชการเป็นกรมกองต่างๆ มีหน้าที่เป็นหมวดเหล่า ไม่ก้าวก่ายกัน ดังนั้นในปี พ.ศ.2418 พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกกระทรวงพระคลังออกจากกรมท่า หรือต่างประเทศ และตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ทำหน้าที่เก็บรายได้ของแผ่นดินทุกแผนกขึ้นเป็นครั้งแรก
ต่อจากนั้น ได้ทรงปรับปรุงหน้าที่ของกรมต่างๆ ที่มีอยู่มากมายเวลานั้นให้เป็นระเบียบเรียบร้อยโดยรวมเข้าเป็นกระทรวง กระทรวงหนึ่งๆ ก็มีหน้าที่อย่างหนึ่งหรือหลายอย่างพอเหมาะสม กระทรวงซึ่งมีอยู่ในตอนแรกๆ เมื่อเริ่มเถลิงราชสมบัตินั้นเพียง 6 กระทรวง คือ
1.) กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ
2.) กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ และการทหารบก ทหารเรือ
3.) กระทรวงนครบาล มีหน้าที่บังคับบัญชาการรักษาพระนคร คือปกครองมณฑลกรุงเทพฯ
4.) กระทรวงวัง มีหน้าที่บังคับบัญชาการในพระบรมมหาราชวัง
5.) กระทรวงการคลัง มีหน้าที่จัดการอันเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ และการพระคลัง
6.) กระทรวงเกษตรพานิชการ มีหน้าที่จัดการไร่นา
เพื่อให้เหมาะสมกับสมัย จึงได้เปลี่ยนแปลงหน้าที่ของกระทรวงบางกระทรวง และเพิ่มอีก 4 กระทรวง รวมเป็น 10 กระทรวง คือ
7.) กระทรวงการต่างประเทศ แบ่งหน้าที่มาจากกระทรวงการคลังเก่า มีหน้าที่ตั้งราชทูตไปประจำสำนักต่างประเทศ เนื่องจากเวลานั้นชาวยุโรปได้ตั้งกงสุลเข้ามาประจำอยู่ในกรุงเทพฯ บ้างแล้ว สมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เป็นเสนาบดีกระทรวงนี้เป็นพระองค์แรก และใช้พระราชวังสราญรมย์เป็นสำนักงาน เริ่มระเบียบร่างเขียนและเก็บจดหมายราชการ ตลอดจนมีข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยมาทำงานตามเวลา ซึ่งนับเป็นแบบแผนให้กระทรวงอื่นๆ ทำตามต่อมา
8.) กระทรวงยุติธรรม แต่ก่อนการพิจารณาพิพากษาคดีไม่ได้รวมอยู่ในกรมเดียวกัน และไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาคนเดียวกัน เป็นเหตุให้วิธีพิจารณาพิพากษาไม่เหมือนกัน ต่างกระทรวงต่างตัดสิน จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวมผู้พิพากษา ตั้งเป็นกระทรวงยุติธรรมขึ้น
9.) กระทรวงโยธาธิการ รวบรวมการโยธาจากกระทรวงต่างๆ มาไว้ที่เดียวกัน และให้กรมไปรษณีย์โทรเลข และกรมรถไฟรวมอยู่ในกระทรวงนี้ด้วย
10.) กระทรวงศึกษาธิการ แยกกรมธรรมการและสังฆการีจากกระทรวงมหาดไทย เอามารวมกับกรมศึกษาธิการ ตั้งขึ้นเป็นกระทรวงธรรมการมีหน้าที่ตั้งโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ฝึกหัดบุคคลให้เป็นครู สอนวิชาตามวิธีของชาวยุโรป เรียบเรียงตำราเรียน และตั้งโรงเรียนขึ้นทั่วราชอาณาจักร
ทั้งนี้ได้ทรงเริ่มจัดการตำแหน่งหน้าที่ราชการดังกล่าวตั้งแต่ปี พ.ศ.2431 จัดให้มีเสนาบดีสภา มีสมาชิกเป็นหัวหน้ากระทรวง 10 นาย และหัวหน้ากรมยุทธนาธิการ กับกรมราชเลขาธิการ ซึ่งมีฐานะเท่ากระทรวงก็ได้เข้านั่งในสภาด้วย รวมเป็น 12 นาย พระองค์ทรงเป็นประธานมา 3 ปีเศษ
แต่เดิมเสนาบดีมีฐานะต่างๆ กัน แบ่งเป็น 3 คือ เสนาบดีมหาดไทยกับกลาโหมมีฐานะเป็นอัครมหาเสนาบดี เสนาบดีนครบาล พระคลัง และเกษตราธิการ มีฐานะเป็นจตุสดมภ์ เสนาบดีการต่างประเทศ ยุติธรรม ธรรมการและโยธาธิการ เรียกกันว่า เสนาบดีตำแหน่งใหม่ ครั้นเมื่อมีประกาศ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2435 จึงเรียกเสนาบดีเหมือนกันหมด ไม่เรียกอัครเสนาบดี
กระทรวงในประเทศไทย เป็นหน่วยงานของรัฐบาลไทย จัดตั้งขึ้นโดยการตราพระราชบัญญัติ ปัจจุบันมีกระทรวงหรือเทียบเท่าจำนวนทั้งสิ้น 20 กระทรวง (เมื่อปี พ.ศ.2562)
1. สำนักนายกรัฐมนตรี (นร) มีฐานะเป็นกระทรวง มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี รับผิดชอบการบริหารราชการทั่วไป เสนอแนะนโยบายและวางแผนการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และความมั่นคง และราชการเกี่ยวกับการงบประมาณ ระบบราชการ การบริหารงานบุคคล กฎหมายและการพัฒนากฎหมาย การติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติราชการ การส่งเสริมการลงทุน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ การปฏิบัติภารกิจพิเศษ และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักนายกรัฐมนตรีหรือส่วนราชการที่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือที่มิได้อยู่ภายในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงใดโดยเฉพาะ
1.1 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
1.2 กรมประชาสัมพันธ์
1.3 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
1.4 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
1.5 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
1.6 สำนักข่าวกรองแห่งชาติ
1.7 สำนักงบประมาณ
1.8 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
1.9 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
1.10 สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
1.11 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
1.12 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
1.13 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
1.14 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
1.15 สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความ สามัคคีปรองดอง
1.16 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
2. กระทรวงกลาโหม (กห) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกันและรักษาความมั่นคงของราชอาณาจักรจากภัยคุกคามทั้งภายนอกและภายในประเทศ การรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ สนับสนุนการพัฒนาประเทศ และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงกลาโหม
2.1 สำนักงานรัฐมนตรี
2.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
2.3 กรมราชองครักษ์
2.4 หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์
2.5 กองทัพไทย
2.5.1 กองบัญชาการกองทัพไทย
2.5.2 กองทัพบก
2.5.3 กองทัพเรือ
2.5.4 กองทัพอากาศ
2.5.5 ส่วนราชการอื่นตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
3. กระทรวงการคลัง (กค) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการคลังแผ่นดิน การประเมินราคาทรัพย์สิน การบริหารพัสดุภาครัฐ กิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ ทรัพย์สินของแผ่นดิน ภาษีอากร การรัษฎากร กิจการหารายได้ที่รัฐมีอำนาจดำเนินการได้แต่ผู้เดียวตามกฎหมายและไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่น การบริหารหนี้สาธารณะ การบริหารและการพัฒนารัฐวิสาหกิจและ หลักทรัพย์ของรัฐ และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการคลังหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงการคลัง
3.1 สำนักงานรัฐมนตรี
3.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
3.3 กรมธนารักษ์
3.4 กรมบัญชีกลาง
3.5 กรมศุลกากร
3.6 กรมสรรพสามิต
3.7 กรมสรรพากร
3.8 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
3.9 สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
3.10 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
4. กระทรวงการต่างประเทศ (กต) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการต่างประเทศ และราชการอื่นตามที่ได้มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศหรือส่วน ราชการที่สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ
4.1 สำนักงานรัฐมนตรี
4.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
4.3 กรมการกงสุล
4.4 กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ
4.5 กรมพิธีการทูต
4.6 กรมยุโรป
4.7 กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
4.8 กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย
4.9 กรมสารนิเทศ
4.10 กรมองค์การระหว่างประเทศ
4.11 กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้
4.12 กรมอาเซียน
4.13 กรมเอเชียตะวันออก
4.14 กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา
5. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริม สนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การกีฬา การศึกษาด้านกีฬา นันทนาการ และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
5.1 สำนักงานรัฐมนตรี
5.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
5.3 กรมพลศึกษา (ชื่อเดิม สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ)
5.4 กรมการท่องเที่ยว (ชื่อเดิม สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว)
6. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการพัฒนาสังคม การสร้างความเป็นธรรมและความเสมอภาคในสังคม การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพและความมั่นคงในชีวิต สถาบันครอบครัว และชุมชน และราชการอื่นตามที่มีกฎหมาย กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
6.1 สำนักงานรัฐมนตรี
6.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
6.3 กรมกิจการเด็กและเยาวชน
6.4 กรมกิจการผู้สูงอายุ
6.5 กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว
6.6 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
6.7 กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
7. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริม สนับสนุน และกำกับการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์การวิจัยและการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อให้การพัฒนาประเทศเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และราชการอื่น ตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและ นวัตกรรม หรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม
7.1 สำนักงานรัฐมนตรี
7.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
7.3 กรมวิทยาศาสตร์บริการ
7.4 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
7.5 สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ
7.6 สถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เป็นส่วนราชการ
8. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเกษตรกรรม การจัดหาแหล่งน้ำและพัฒนาระบบชลประทาน ส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกร ส่งเสริมและพัฒนาระบบสหกรณ์รวมตลอดทั้งกระบวนการผลิตและสินค้าเกษตรกรรม และราชการอื่นที่ กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือส่วนราชการที่สังกัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
8.1 สำนักงานรัฐมนตรี
8.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
8.3 กรมการข้าว
8.4 กรมชลประทาน
8.5 กรมตรวจบัญชีสหกรณ์
8.6 กรมประมง
8.7 กรมปศุสัตว์
8.8 กรมฝนหลวงและการบินเกษตร
8.9 กรมพัฒนาที่ดิน
8.10 กรมวิชาการเกษตร
8.11 กรมส่งเสริมการเกษตร
8.12 กรมส่งเสริมสหกรณ์
8.13 กรมหม่อนไหม
8.14 สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
8.15 สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ
8.16 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
9. กระทรวงคมนาคม (คค) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการขนส่ง ธุรกิจการขนส่ง การวางแผนจราจร และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงคมนาคมหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงคมนาคม
9.1 สำนักงานรัฐมนตรี
9.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
9.3 กรมเจ้าท่า (ชื่อเดิม กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี)
9.4 กรมการขนส่งทางบก
9.5 กรมการขนส่งทางราง
9.6 กรมท่าอากาศยาน
9.7 กรมทางหลวง
9.8 กรมทางหลวงชนบท
9.9 สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
10. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผน ส่งเสริม พัฒนา และดำเนินกิจการเกี่ยวกับดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การอุตุนิยมวิทยา การสถิติและราชการอื่น ตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อ เศรษฐกิจและสังคม หรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
10.1 สำนักงานรัฐมนตรี
10.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
10.3 กรมอุตุนิยมวิทยา
10.4 สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
10.5 สำนักงานสถิติแห่งชาติ
11. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการป่าไม้ การสงวน อนุรักษ์ และการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการ การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน และราชการอื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
11.1 สำนักงานรัฐมนตรี
11.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
11.3 กรมควบคุมมลพิษ
11.4 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
11.5 กรมทรัพยากรธรณี
11.6 กรมทรัพยากรน้ำ
11.7 กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
11.8 กรมป่าไม้
11.9 กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
11.10 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
11.11 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
12. กระทรวงพลังงาน (พน) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการจัดหา พัฒนาและบริหารจัดการพลังงาน และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของกระทรวงพลังงานหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงพลังงาน
12.1 สำนักงานรัฐมนตรี
12.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
12.3 กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ
12.4 กรมธุรกิจพลังงาน
12.5 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
12.6 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
13. กระทรวงพาณิชย์ (พณ) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการค้า ธุรกิจบริการ ทรัพย์สินทางปัญญา และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์หรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงพาณิชย์
13.1 สำนักงานรัฐมนตรี
13.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
13.3 กรมการค้าต่างประเทศ
13.4 กรมการค้าภายใน
13.5 กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
13.6 กรมทรัพย์สินทางปัญญา
13.7 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
13.8 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (ชื่อเดิม กรมส่งเสริมการส่งออก)
13.9 สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า
14. กระทรวงมหาดไทย (มท) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการบำบัดทุกข์บำรุงสุข การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน การอำนวยความเป็นธรรมของสังคม การส่งเสริมและพัฒนาการเมืองการปกครอง การพัฒนาการบริหารราชการส่วนภูมิภาค การปกครองท้องที่ การส่งเสริม การปกครองท้องถิ่นและพัฒนาชุมชน การทะเบียนราษฎร ความมั่นคงภายใน กิจการสาธารณภัย และการพัฒ นาเมืองและราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ กระทรวงมหาดไทยหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงมหาดไทย
14.1 สำนักงานรัฐมนตรี
14.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
14.3 กรมการปกครอง
14.4 กรมการพัฒนาชุมชน
14.5 กรมที่ดิน
14.6 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
14.7 กรมโยธาธิการและผังเมือง
14.8 กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
15. กระทรวงยุติธรรม (ยธ) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการกระบวนการยุติธรรม เสริมสร้างและอำนวยความยุติธรรมในสังคม และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงยุติธรรมหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงยุติธรรม
15.1 สำนักงานรัฐมนตรี
15.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
15.3 กรมคุมประพฤติ
15.4 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
15.5 กรมบังคับคดี
15.6 กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
15.7 กรมราชทัณฑ์
15.8 กรมสอบสวนคดีพิเศษ
15.9 สำนักงานกิจการยุติธรรม
15.10 สถาบันนิติวิทยาศาสตร์
15.11 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
16. กระทรวงแรงงาน (รง) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารและคุ้มครอง แรงงาน พัฒนาฝีมือแรงงาน ส่งเสริมให้ประชาชนมีงานทำ และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงแรงงานหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงแรงงาน
16.1 สำนักงานรัฐมนตรี
16.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
16.3 กรมการจัดหางาน
16.4 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
16.5 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
16.6 สำนักงานประกันสังคม
17. กระทรวงวัฒนธรรม (วธ) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับศิลปะ ศาสนา และวัฒนธรรม และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงวัฒนธรรมหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม
17.1 สำนักงานรัฐมนตรี
17.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
17.3 กรมการศาสนา
17.4 กรมศิลปากร
17.5 กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
17.6 สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
18. กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและกำกับ ดูแลการศึกษาทุกระดับ ทุกประเภท และการอาชีวศึกษา แต่ไม่รวมถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงอื่นที่มีกฎหมายกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ กำหนดนโยบาย แผน และ มาตรฐานการศึกษา สนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา ส่งเสริมและประสานงานการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และการกีฬา เพื่อการศึกษา รวมทั้งการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัด การศึกษา และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการหรือ ส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
18.1 สำนักงานรัฐมนตรี
18.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
18.3 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
18.4 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
18.5 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
18.6 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
19. กระทรวงสาธารณสุข (สธ) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ อนามัย การป้องกัน ควบคุม และรักษาโรคภัย การฟื้นฟูสมรรถภาพของประชาชน และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขหรือส่วนราชการที่สังกัด กระทรวงสาธารณสุข
19.1 สำนักงานรัฐมนตรี
19.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
19.3 กรมการแพทย์
19.4 กรมควบคุมโรค
19.5 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก (ชื่อเดิม กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก)
19.6 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
19.7 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
19.8 กรมสุขภาพจิต
19.9 กรมอนามัย
19.10 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
20. กระทรวงอุตสาหกรรม (อก) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม การพัฒนาผู้ประกอบการ และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรมหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม
20.1 สำนักงานรัฐมนตรี
20.2 สำนักงานปลัดกระทรวง
20.3 กรมโรงงานอุตสาหกรรม
20.4 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
20.5 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
20.6 สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย
20.7 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
20.8 สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
ส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีกระทรวงหรือทบวง มีฐานะเป็นกรม อยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี
1. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับกิจการพระพุทธศาสนา ส่งเสริมพัฒนาพระพุทธศาสนาและดูแลรักษาศาสนสมบัติตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์และอำนาจ หน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
2. สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริตามที่ กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
3. สำนักงานราชบัณฑิตยสภา มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการค้นคว้า วิจัย และ เผยแพร่ทางวิชาการ และอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
4. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อย และอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
5. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการ ดำเนินการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
6. สำนักงาน
ชีวิตคนเรา มี 3 สิ่ง ที่มาไม่พร้อมกัน
ชีวิตคนเรา มี 3 สิ่ง ที่มาไม่พร้อมกัน
ชีวิตคนเรา มี 3 สิ่งที่มาไม่พร้อมกัน
ชีวิตคนเรา มี 3 สิ่งที่มาไม่พร้อมกัน ระหว่าง วัยของชีวิต กับ เงิน, เวลา, และ แรง
ตอนวัยเรียน
มี : "แ ร ง"
มี : "เ ว ล า"
แต่ไม่มี : "เ งิ น"
ตอนวัยทำงาน
มี : "เ งิ น"
มี : "แ ร ง"
แต่ไม่มี : "เ ว ล า"
ตอนเกษียณ
มี : "เ ว ล า"
มี : "เ งิ น"
แต่ไม่มี : "แ ร ง"
จงบริหาร 3 สิ่ง "อ ย่ า ง มี ส ติ" แล้วจะมีความสุขในปัจจุบัน
การนวดไทย และการนวดแผนไทย เป็นศาสตร์และศิลป์ในการรักษาของแพทย์แผนโบราณ มีประวัติความเป็นมายาวนาน และหลายประเทศ อาทิเช่น อินเดีย, จีน, ญี่ปุ่น, ไทย เป็นต้น
การนวดไทย และการนวดแผนไทย
การนวดไทย และการนวดแผนไทย
การนวดไทย
การนวดไทย หรือหัตถเวชกรรมไทย เป็นศาสตร์และศิลป์อีกแขนงหนึ่งที่สำคัญ ของหลักวิชาการแพทย์แผนไทย ในการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ การนวดไทยในปัจจุบัน เป็นภูมิปัญญาไทย ที่ได้ผ่านการบูรณาการ ร่วมกับองค์ความรู้ ของศาสตร์การแพทย์ ในระบบการแพทย์อื่นๆ จนพัฒนาเป็นการนวดไทย ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ทั้งในประเทศ และในระดับนานาชาติ
การนวดไทยเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการตรวจ การวินิจฉัย การบำบัด การส่งเสริม และการฟื้นฟูสุขภาพ ด้วยวิธีการกด การคลึง การบีบ การดัด การดึง การประคบ และการอบ ทั้งนี้ตามหลักวิชาการแพทย์แผนไทย การประคบสมุนไพร การอบสมุนไพร รวมทั้ง กายบริหารฤๅษีดัดตน ก็จัดเป็นองค์ความรู้ในวิชาการนวดไทยด้วย
การนวดไทยอาจแบ่งตามวัตถุประสงค์ได้เป็น 2 ประเภท คือ การนวดเพื่อผ่อนคลาย และการนวดเพื่อบำบัดรักษา การนวดเพื่อผ่อนคลาย เป็นการนวด เพื่อส่งเสริมสุขภาพ ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ส่วนการนวดเพื่อบำบัดรักษา เป็นการนวดเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ ในการบำบัดโรค หรือรักษาผู้ป่วย เช่น นวดแก้สะบักจม นวดแก้คอเคล็ด
นอกจากนั้นการนวดไทยยังอาจมีลีลาวิธีการนวดแตกต่างกันไป 2 แบบ คือ การนวดแบบราชสำนัก และการนวดแบบเชลยศักดิ์ การนวดแบบราชสำนักแต่เดิมเป็นการนวด เพื่อถวายพระมหากษัตริย์ และเจ้านายชั้นสูง ในราชสำนัก การถ่ายทอดวิธีการนวดแบบนี้ ต้องพิจารณาคุณสมบัติของผู้เรียน อย่างละเอียดถี่ถ้วน มีขั้นตอนในการสอน โดยเน้นที่จรรยามารยาทในการนวด ปัจจุบัน นำมาใช้บำบัดโรคระบบกล้ามเนื้อและกระดูก ส่วนการนวดแบบเชลยศักดิ์หรือแบบทั่วไป เป็นการนวดแบบสามัญชน ใช้การสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยการฝึกฝนและการบอกเล่า มีแบบแผนการนวดตามวัฒนธรรมท้องถิ่น ประกอบกับประสบการณ์ ที่สั่งสมของครูนวด แต่เดิมการถ่ายทอดศาสตร์การนวดไทยแบบนี้ มักสอน และเรียนกันตามบ้านของครูนวด แต่ปัจจุบัน มีการเรียนการสอนกันทั่วไป ตามสถาบันการศึกษา หรือสถาบัน ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์แผนไทย
ตามหลักวิชาการแพทย์แผนไทยนั้น ร่างกายคนเราประกอบด้วย "เส้น" หรือ "เอ็น" หรือ "เส้นเอ็น" จำนวนมาก ภายในเส้นเหล่านี้ จะเป็นทางไหลเวียนของ "เลือด" และ "ลม" ซึ่งในภาวะปกติจะไหลเวียนอย่างสมดุล หากมีการอุดกั้น หรือขัดขวางการไหลเวียนของเลือด และลม ดังกล่าว ก็จะทำให้เกิดความเจ็บป่วยและมีอาการผิดปกติต่างๆ เกิดขึ้น เช่น ปวดเมื่อย มึนงง ท้องอืดเฟ้อ แพทย์แผนไทยก็จะบำบัดความเจ็บป่วยหรืออาการต่างๆ ด้วยการใช้ยา หรือด้วยการนวด โดยการกด คลึง บีบ ดัด และดึง ตามจุดและเส้นที่เกี่ยวข้อง เพื่อกระตุ้นให้เลือดและลมไหลเวียนเป็นปกติ
1. เส้นประธานสิบ เป็นเส้นหลักที่สำคัญของร่างกาย มีรวม 10 เส้น เส้นประธานทั้ง 10 เส้น มีจุดเริ่มต้นบริเวณรอบๆ สะดือ แล้วแยกกันไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไปสิ้นสุด ที่อวัยวะต่างๆ ได้แก่เส้นดังต่อไปนี้
1.) เส้นอิทา เป็นเส้นประธานที่เริ่มจากบริเวณสะดือ แล่นลงไปบริเวณหัวเหน่า ลงไปตามต้นขาข้างซ้าย จนถึงหัวเข่า แล้วเลี้ยวขึ้นไปแนบแนวกระดูกสันหลังด้านซ้าย แล่นกระหวัดขึ้นบนศีรษะ แล้วกลับมาสิ้นสุดที่จมูกด้านซ้าย
2.) เส้นปิงคลา เป็นเส้นประธานที่มีทางเดินเริ่มจากบริเวณสะดือ แล่นลงไปบริเวณหัวเหน่า ลงไปตามต้นขาข้างขวาจนถึงหัวเข่า แล้วเลี้ยวขึ้นไปแนบแนวกระดูกสันหลังด้านขวา แล่นกระหวัดขึ้นบนศีรษะ แล้วกลับมาสิ้นสุดที่จมูกด้านขวา
3.) เส้นสุมนา เริ่มจากบริเวณสะดือ แล้วแล่นตรงขึ้นไปในทรวงอก ขั้วหัวใจ ขึ้นไปตามลำคอ สิ้นสุดที่โคนลิ้น
4.) เส้นกาลทารี เริ่มจากบริเวณสะดือ แล้วแยกออกเป็น 4 เส้น โดย 2 เส้นขึ้นไปตามสีข้าง ต้นแขน ต้นคอ ศีรษะ แล้ววกกลับลงมาตามแนวหลังแขนทั้ง 2 ข้าง จากนั้นแยกออกไปตามนิ้วมือทั้ง 2 ข้าง อีก 2 เส้น ลงไปตามหน้าแข้งจนถึงข้อเท้า แล้วแตกออกไปตามนิ้วเท้าทั้ง 2 ข้าง
5.) เส้นสหัศรังสี เริ่มจากบริเวณสะดือ ลงไปต้นขาและแข้งด้านใน ตลอดไปจนถึงฝ่าเท้า ผ่านต้นนิ้วเท้าซ้ายทั้ง 5 นิ้ว แล้วย้อนกลับขึ้นมาตามหน้าแข้งของขาข้างซ้าย ไปเต้านมซ้าย เข้าไปใต้คาง ลอดขากรรไกรข้างซ้าย ไปสิ้นสุดที่ตาข้างซ้าย
6.) เส้นทวารี เริ่มจากบริเวณสะดือ ลงไปต้นขาและแข้งด้านใน ตลอดไปจนถึงฝ่าเท้า ผ่านต้นนิ้วเท้าขวาทั้ง 5 นิ้ว แล้วย้อนกลับขึ้นมาตามหน้าแข้งของขาข้างขวา ไปเต้านมขวา เข้าไปใต้คาง ลอดขากรรไกรข้างขวา ไปสิ้นสุดที่ตาข้างขวา
7.) เส้นจันทะภูสัง เริ่มจากบริเวณสะดือ ขึ้นไปราวนมข้างซ้าย ผ่านไปที่คอ คาง และไปสิ้นสุดที่หูข้างซ้าย
8.) เส้นรุชำ ที่เริ่มจากบริเวณสะดือ ขึ้นไปราวนมข้างขวา ผ่านไปที่คอ คาง และไปสิ้นสุดที่หูขวา
9.) เส้นสุขุมัง เริ่มจากบริเวณสะดือ ไปสิ้นสุดที่ทวารหนัก
10.) เส้นสิกขินี เริ่มจากบริเวณสะดือ ไปที่หัวเหน่า ทวารเบา และสิ้นสุดที่อวัยวะเพศ
2. การประคบสมุนไพร การประคบสมุนไพรเป็นภูมิปัญญาไทยในการดูแลสุขภาพวิธีหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะแก้ปวดเมื่อยในสตรีหลังคลอดลูก และช่วยแก้นมคัด ทำให้น้ำนมเดินสะดวก ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ในหัวข้อการผดุงครรภ์ไทย การประคบสมุนไพรยังมักใช้คู่กับการนวดไทย โดยมักใช้หลังการนวด เพื่อช่วยให้เนื้อเยื่อพังผืดยืดตัวออก ลดการติดขัดของข้อต่อ ลดอาการปวด ลดการเกร็งตัว ของกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และช่วยลดการบวม อันเกิดจากการอักเสบ ของกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อต่อ
สมุนไพรที่ใช้เตรียมเป็นลูกประคบได้แก่ ไพล ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ตะไคร้ ผิวมะกรูด ใบมะขาม ใบส้มป่อย เถาเอ็นอ่อน การบูร และพิมเสน โดยมีไพลกับการบูรเป็นตัวยาสำคัญ ที่ขาดไม่ได้ ตัวยาที่เป็นส่วนของพืชจะใช้ของสด เพราะให้ผลดีกว่าใช้ของแห้ง วิธีการเตรียมลูกประคบ ทำได้โดยการเอาตัวยาสมุนไพรมาตำรวมกันพอแหลก ใส่การบูร และพิมเสน ลงไปคลุกเคล้ากัน ห่อผ้าขาว รัดด้วยเชือกให้แน่น
เมื่อจะใช้ให้เอาลูกประคบวางไว้บนปากหม้อดินที่มีไอน้ำร้อน จนลูกประคบร้อนตามต้องการ แล้วใช้ประคบหลังการนวด หรือสลับกับการนวด ในกรณีแก้ปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอกใช้ประคบหลังการนวด ซึ่งอาจทำ 1 วัน เว้น 2 วัน ส่วนกรณีใช้กับสตรีหลังคลอดลูก ใช้ลูกประคบ 3 ลูก โดยนั่งทับ 1 ลูก อีก 2 ลูก ใช้ประคบตามร่างกาย และเต้านม ประคบทุกวัน จนนมหายคัด ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานถึง 7 วัน
3. การอบสมุนไพร การอบสมุนไพรเป็นการดูแลสุขภาพตามภูมิปัญญาไทยอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะใช้กับสตรีหลังคลอดลูก เหมือนการประคบสมุนไพรแล้ว ยังมักใช้ควบคู่กับการนวดไทย หลักการของการอบสมุนไพรคือ การต้มสมุนไพรกับน้ำจนเดือด เพื่อให้ไอน้ำหรือน้ำมันหอมระเหยสัมผัสกับผิวหนัง และเข้าสู่ร่างกาย โดยทางผิวกายและการหายใจ ไอน้ำร้อนจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ช่วยขยายรูขุมขน ทำให้ร่างกายขับเหงื่อและของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย ทำให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้น ละลายเสมหะและทำให้ขับออกมาได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยลดการอักเสบและบวม ของเยื่อบุทางเดินหายใจส่วนต้น และช่วยลดการระคายเคืองในลำคอ
สมุนไพรที่ใช้ในการอบสมุนไพรแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม คือ
- กลุ่มมีน้ำมันหอมระเหย เช่น ไพล ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ข่า กระทือ ว่านน้ำ ตะไคร้ กะเพรา ใบหนาด ช่วยให้จมูกโล่ง ขยายหลอดลม และฆ่าเชื้อบางชนิด
- กลุ่มมีรสเปรี้ยว ซึ่งมักมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ เช่น ใบมะขาม ใบส้มป่อย มะกรูด ช่วยชำระสิ่งสกปรกออกจากผิวหนัง
- กลุ่มสารระเหิดแล้วมีกลิ่นหอม เช่น พิมเสน การบูร ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และแก้โรคผิวหนังบางชนิด
- กลุ่มที่ใช้เพื่อการบำบัดเฉพาะโรคหรืออาการ เช่น ผักบุ้งขัน เหงือกปลาหมอ ผักชีล้อม สำหรับแก้โรคผิวหนัง
สำหรับสตรีหลังคลอดลูก การอาบหรืออบสมุนไพร จะช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น และช่วยขับน้ำคาวปลา เมื่อใช้ร่วมกับการนวดไทย จะช่วยแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ และช่วยคลายเครียด การอบสมุนไพรยังใช้ร่วมกับการนวดในการฟื้นฟูสมรรถภาพ ของผู้ป่วยอัมพฤกษ์ หรืออัมพาตได้ดี นอกจากนั้น การอบสมุนไพรยังอาจช่วยควบคุมน้ำหนัก ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และลดอาการเซื่องซึมในผู้ติดยาเสพติด ทั้งนี้ การใช้สมุนไพรบางครั้งอาจใช้ทั้งอบและอาบ ซึ่งจะให้ผลรวดเร็วขึ้น
4. ฤๅษีดัดตน ฤๅษีดัดตนเป็นกายบริหารอันเป็นภูมิปัญญาไทยแขนงหนึ่ง อาจจัดอยู่ในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการนวดไทย เนื่องจาก ใช้หลักการดัดส่วนต่างๆ ของร่างกาย และการบริหารลมหายใจเป็นหลัก โดยอาจมีการนวดผสมผสานอยู่ด้วย ในบางท่า กายบริหารแบบฤๅษีดัดตนมีท่าต่างๆ ที่ครอบคลุมทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จึงช่วยฟื้นฟูสุขภาพ ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี ลดความตึงของเอ็น ประสาท และกล้ามเนื้อ ช่วยให้การเคลื่อนไหวของร่างกายคล่องแคล่ว จิตใจสบาย คลายความตึงเครียด
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในหัวข้อบูรพาจารย์ด้านการแพทย์แผนไทยว่า ฤๅษีเป็นนักบวชพวกหนึ่ง มีมาก่อนพุทธกาล สละบ้านเรือน ออกไปบำเพ็ญพรต เพื่อแสวงหาความสุขสงบตามป่าเขา ด้วยการบำเพ็ญเพียรภาวนา การนั่งสมาธิอยู่เป็นเวลานานๆ ทำให้มีอาการปวดเมื่อย การไหลเวียนของ "เลือด" และ "ลม" ตามเส้นต่างๆ เกิดติดขัด จนเกิดโรค และอาการต่างๆ ตามมา การดัดตนจึงช่วยบรรเทา ผ่อนคลาย และฟื้นฟูสมรรถนะ ของร่างกายให้เป็นปกติ ศาสตร์ฤๅษีดัดตนของไทย อาจมีส่วนที่คล้ายกับศาสตร์โยคะของอินเดีย แต่ท่าฤๅษีดัดตนของไทยส่วนใหญ่เป็นท่าที่สุภาพ ไม่ผาดโผน หรือฝืนตน จนรุนแรงเกินไป ท่าดัดตนของไทยเหล่านี้มักเป็นท่าดัดตามอิริยาบถของคนไทย ซึ่งสามารถเรียนรู้และปฏิบัติได้ง่าย
การปั้นท่ากายบริหารเพื่อฟื้นฟูและส่งเสริมสุขภาพโดยใช้ "ฤๅษี" เป็นแบบนั้น เพราะคนไทยล้วนรู้ว่า ฤๅษีเป็นผู้บำเพ็ญศีลภาวนา ท่าทางที่ฤๅษีบริหารร่างกายจึงน่าเชื่อถือ และน่าจะได้ผลดี อีกทั้งศาสตร์ต่างๆ ของไทยเคารพนับถือฤๅษีเป็นครู การใช้ฤๅษีเป็นแบบ จึงเป็นอุบายที่แยบคาย เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ และความขลัง
การนวดแผนไทย
การนวดแผนไทย ถือเป็นอีกหนึ่งการแพทย์แผนโบราณของไทยที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน บ้างก็ว่าบันทึกของศาสตร์การนวดแผนไทยมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ในขณะที่นักประวัติศาสตร์หลายคนก็เห็นว่าการนวดแผนไทยอาจมีมาตั้งแต่ 2,500 ปีก่อนโดยชาวอินเดียคนหนึ่ง ที่นำมาเผยแพร่ไปทั่วเอเชียใต้จนกลายเป็นที่นิยมมากขึ้น ด้วยความที่บันทึกต่างๆ มีจำนวนน้อย ทำให้ความเป็นมาของการนวดแผนไทยอาจมีหลายความเชื่อ แต่ศาสตร์การนวดแผนไทยก็ถูกส่งต่อกันแบบปากต่อปากมาจนถึงปัจจุบัน
เลือกหัวข้อที่สนใจเกี่ยวกับการนวดแผนไทยได้ที่นี่
1. นวดแผนไทยคืออะไร? การนวดแผนไทย (Thai Massage) หรือเรียกอีกอย่างว่าการนวดแผนโบราณ เป็นหนึ่งในรูปแบบการนวดบำบัด (Therapeutic Touch) โดยให้ผู้รับบริการนอนราบบนเสื่อหรือฝูกนอนที่พื้น แล้วให้ผู้นวด บีบ คลึง และกดตามลำตัว เพื่อกระตุ้นอวัยวะภายในและเพิ่มความยืนหยุ่นของกล้ามเนื้อ ผู้ให้บริการนวดแผนไทยจะใช้มือ นิ้วหัวแม่มือ ศอก ท่อนแขน หรือแม้แต่ฝ่าเท้าประกอบในการนวดกล้ามเนื้อ รวมถึงมีการเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าการนวดประเภทอื่นๆ ที่ให้ผู้รับบริการนอนราบไปเฉยๆ แม้จะมีชื่อว่าการนวดแผนไทย แต่ลักษณะความเชื่อนั้นคล้ายคลึงกับศาสตร์การแพทย์แผนจีน คือเชื่อว่าในร่างกายมีพลังงานไหลเวียนผ่านส่วนต่างๆ การนวดคลึงและยืดเหยียดร่างกายอาจช่วยให้พลังงาน และเลือดไหลเวียนดีขึ้นนั่นเอง
2. นวดแผนไทยมีกี่ประเภท? การนวดแผนไทยสามารถแบ่งได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าจะแบ่งด้วยวิธีไหน โดยหากแบ่งให้เข้าได้ง่าย คือการแบ่งตามสรรพคุณ ซึ่งแบ่งได้หลักๆ 3 ประเภท ดังนี้
- นวดเพื่อสุขภาพ เป็นการนวดที่สามารถนวดได้ทุกคน รวมถึงผู้สูงอายุ ช่วยกระตุ้นระบบของร่างกายให้ผ่อนคลาย เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น
- นวดเพื่อการรักษา เป็นการเน้นบรรเทากลุ่มอาการปวดต่างๆ เช่น ปวดหลัง ปวดคอ ปวดกล้ามเนื้อ ไหล่ติด เข่าตึง
- นวดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพ เป็นการนวดฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคพาร์กินสัน
อย่างไรก็ตาม บางสถานที่อาจแบ่งตามกระบวนการนวดเป็น 2 ประเภทคือนวดเชลยศักดิ์ (นวดแบบจับเส้น) และนวดราชสำนัก (ใช้เฉพาะนิ้วมือนวดกดจุด)
3. นวดแผนไทยต่างจากการนวดประเภทอื่นอย่างไร? การนวดมีด้วยกันหลายแบบ แม้ส่วนใหญ่จะมีจุดประสงค์เพื่อความผ่อนคลายเป็นหนึ่งในจุดประสงค์หลัก แต่การนวดแผนไทยอาจต่างจากการนวดประเภทอื่นเล็กน้อย ดังนี้
- การนวดแผนไทยนอนราบกับพื้น แต่การนวดในหลายๆ ประเภทมักให้นอนบนเตียง หรือโต๊ะนวด
- การนวดแผนไทยยังใส่เสื้อผ้าไว้ได้ โดยอาจใส่เสื้อผ้าหลวมให้ขยับตัวได้สะดวก ในขณะที่การนวดบางประเภทอาจต้องถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมด
- การนวดแผนไทยไม่มีการใช้น้ำมันนวด ต่างกับการนวดน้ำมัน (Oil Massage) ที่ใช้น้ำมันหอมระเหยเพื่อให้ความผ่อนคลาย เพราะน้ำมันนวดอาจส่งผลต่อการควบคุมแรงกดของผู้นวดแผนไทย
- การนวดแผนไทยขยับร่างกายเยอะ เช่น อาจมีการปรับท่าทางคล้ายท่าโยคะ มีการดึง หรือกดเพื่อให้ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ต่างกับการนวดหลายๆ ประเภทที่มักจะนอนเฉยๆ เพียงอย่างเดียว
4. ประโยชน์ของการนวดแผนไทย? การนวดแผนไทยมีประโยชน์หลายข้อ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการนวด ดังนี้
- ช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ทั้งคอ บ่า และส่วนอื่นๆ ทั่วร่างกาย
- ช่วยลดอาการปวดตึงตามข้อ มีการศึกษาทดลองให้ผู้เข้าร่วมที่มีอาการข้อเข่าอักเสบ เข้ารับการนวดแผนไทยร่วมกับการออกกำลังกายด้วยไม้เท้าเป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าผู้เข้าร่วมรู้สึกปวดน้อยลง และเดินได้ดีขึ้น
- บรรเทาอาการปวดหลัง การนวดแผนไทยมีส่วนช่วยบรรเทาอาการปวดหลังและรักษาร่วมกับวิธีอื่นๆ ได้ มีการศึกษากับคนที่มีอาการปวดหลัง 120 คน โดยครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้เข้ารับการนวดแผนไทยสัปดาห์ละ 2 ครั้งนาน 4 สัปดาห์ พบว่าอาการปวดหลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ บางการศึกษาพบว่าอาจช่วยลดอาการปวดหลังส่วนบนด้วย แต่อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดหลังต่อเนื่องมานาน ควรไปพบแพทย์ก่อนนวดแผนไทย
- มีส่วนช่วยลดอาการปวดหัว มีการศึกษาแสดงว่าผู้ที่เข้ารับการนวดแผนไทย 9 ครั้งใน 3 สัปดาห์ สามารถลดอาการปวดหัวจากความเครียดหรือไมเกรนลงได้
- ช่วยขยายขอบเขตการเคลื่อนไหวร่างกาย การนวดแผนไทยประกอบไปด้วยการกด บีบ และการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ช่วยให้ข้อต่อและกล้ามเนื้อสามารถเคลื่อนไหวได้มากขึ้น ไม่ยึดเกร็งง่ายเกินไป
- มีส่วนช่วยลดความเครียด แม้การนวดแผนไทยจะใช้น้ำหนักมากกว่าการนวดประเภทอื่น แต่สำหรับหลายคนก็รู้สึกผ่อนคลายจากการนวดแผนไทย เคยมีนักวิจัยทำการสแกนสมองผู้ที่เข้ารับการนวดแผนไทย พบว่าช่วยลดความวิตกกังวลได้ ทั้งนี้การลดความเครียดอาจได้ผลดีขึ้นเมื่อพักผ่อนอย่างเพียงพอ
- ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า นวดแผนไทยมีการเคลื่อนไหวเกือบทั้งร่างกายเช่นเดียวกับโยคะ ทำให้ผู้ที่รับการนวดแผนไทยอาจรู้สึกกระปรี้กระเป่ามากขึ้นด้วย
- มีส่วนช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น การนวดแผนไทยช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองดีขึ้นผ่านการยืดเหยียด ทำให้เนื้อเยื่อในร่างกายได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงมากขึ้น ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของเซลล์
- อาจมีส่วนช่วยผู้ป่วยโรคหลอดเลือดในสมอง การศึกษาในปี 2012 พบว่าผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่รับการนวดแผนไทยเป็นประจำ อาจช่วยให้สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ดีขึ้น รวมถึงอาจลดอาการปวด ช่วยให้นอนหลับดีขึ้นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อนเสมอ
นอกจากนี้ ประโยชน์อื่นที่อาจได้รับจากการนวดแผนไทย เช่น ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น ระบบย่อยอาหารดีขึ้น เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากคุณมีอาการปวดกล้ามเนื้อรุนแรง หรืออาการผิดปกติอื่นๆ ของร่างกาย ควรไปพบแพทย์ก่อนตัดสินใจรักษาด้วยการนวดแผนไทย เพราะโรคบางชนิดไม่อาจรุนแรงมากขึ้นหากรับการนวดแผนไทย
5. ใครไม่ควรนวดแผนไทย? การนวดแผนไทยมีผลกระทบต่อระบบไหลเวียนเลือด และกล้ามเนื้อ จึงอาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิดหรือเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้
- ผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ
- ผู้ป่วยโรคความดันสูง
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง เช่น โรคกระดูกพรุน
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ผู้ที่เพิ่งรับการผ่าตัดมาไม่นาน
- ผู้ที่มีแผลเปิด
- ผู้ป่วยโรคมะเร็ง
- ผู้ที่กำลังอยู่ระหว่างตั้งครรภ์
- ผู้ป่วยโรคเลือด
- ผู้ที่มีภาวะลิ่มเลือด
- ผู้ที่มีแผลไฟไหม้
- ผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia)
- ผู้ที่ปวดกล้ามเนื้อจากการมีไข้
- ผู้ที่ปวดกล้ามเนื้อเฉียบพลัน บวม แดง
หากใครอยู่ในเงื่อนไขดังกล่าว ควรหลีกเลี่ยงการนวดแผนไทยจนกว่าจะรักษาให้หายดี หรือปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลเพื่อประเมินความเหมาะสมก่อนรับบริการ
6. การเตรียมตัวก่อนการนวดแผนไทย? ผู้ที่มานวดแผนไทยมักไม่ต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ ขั้นตอนการเตรียมตัวเล็กๆ น้อยๆ อาจมีดังนี้
- มาก่อนเวลานัด 10-30 นาที ควรมาถึงเวลานัดเล็กน้อยเพื่อกรอกเอกสาร โดยเฉพาะเมื่อมาใช้บริการเป็นครั้งแรก
- แจ้งข้อมูลสุขภาพ ก่อนเริ่มนวดแผนไทยควรแจ้งกับผู้ให้บริการถึงประวัติสุขภาพ เพราะโรคประจำตัวบางชนิดอาจไม่เหมาะกับการนวดแผนไทย หรือหากนวดได้ ผู้ให้บริการจะได้ระมัดระวังมากขึ้น
- สวมเสื้อหลวมๆ หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้ารัดรูป เพราะทำให้เคลื่อนไหวระหว่างนวดไม่สะดวก หรือบางสถานที่อาจมีชุดให้เปลี่ยน
ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อนตัดสินใจนวดแผนไทย เพื่อลดโอกาสเกิดผลกระทบให้มากที่สุด
7. ขั้นตอนการนวดแผนไทย? ขั้นตอนการนวดแผนไทยอาจแตกต่างกันออกไปตามเทคนิคของผู้ให้บริการ และประเภทของการนวด โดยขั้นตอนหลักๆ อาจมีดังนี้
- ผู้ให้บริการอาจให้คุณเปลี่ยนเป็นชุดที่ทางสถานที่เตรียมไว้ให้ หรือบางกรณีอาจให้สวมชุดที่หลวมๆ เคลื่อนไหวสะดวกของคุณเอง
- เมื่อเปลี่ยนชุดแล้ว ผู้ให้บริการจะเตรียมเสื่อนอน หรือฝูกนอนไว้ให้ที่พื้น รวมถึงหมอนรองศีรษะด้วย
- ผู้ให้บริการจะค่อยๆ ยืดเหยียดส่วนต่างๆ ของร่างกายคุณโดยอาจใช้แรงกดช่วย
- ผู้ให้บริการจะใช้มือ นิ้วหัวแม่มือ ข้อศอก และหัวเข่า เพื่อกดคลึงส่วนต่างๆ ของร่างกาย
- ในบางกรณีผู้ให้บริการอาจมีการขยับร่างกายคล้ายกับท่าโยคะผ่านการดึงและกด
- ขั้นตอนเหล่านี้อาจทำให้บางคนรู้สึกเจ็บหรือปวดกล้ามเนื้อได้ โดยสามารถแจ้งกับผู้ให้บริการเพื่อลดการลงน้ำหนัก
สำหรับผู้ที่มีอาการบาดเจ็บ หรือส่วนไหนของร่างกายที่เจ็บง่ายเป็นพิเศษ ควรแจ้งกับผู้ให้บริการก่อนเริ่มการนวดทุกครั้ง
8. อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการนวดแผนไทย? การนวดแผนไทยมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นบางประการ เช่นเดียวกับการนวดหลายๆ ประเภท ดังนี้
- อาจเกิดอันตรายกับผู้ป่วยโรคหัวใจ เนื่องจากการนวดแผนไทยทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเปลี่ยนแปลง ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบเลือดและหัวใจจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
- อาจเกิดอาการปวด หากผู้นวดมือหนัก หรือใช้น้ำหนักไม่เหมาะกับร่างกายของคุณ อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บกล้ามเนื้อหรือกระดูกได้
อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ได้รับความผ่อนคลายและประโยชน์จากการนวดแผนไทยมากกว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้น แต่ก็ควรปรึกษาผู้นวดแผนไทยก่อนตัดสินใจใช้บริการ
9. นวดแผนไทยแล้วเจ็บเกิดจากอะไร? หลายคนมาใช้บริการนวดแผนไทยโดยคาดหวังว่าจะช่วยบรรเทาอาการปวดหรืออาการอื่นๆ แต่หลังนวดเสร็จกลับมีอาการปวดหรือเจ็บกล้ามเนื้อจนเกิดความกังวล ต่อไปนี้เป็นสาเหตุที่เป็นไปได้ของอาการปวดหลังนวดแผนไทย
- นวดแผนไทยขณะเป็นไข้ โดยปกติคนที่เป็นไข้จะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวและปวดตามร่างกาย และอาจคิดว่าการนวดแผนไทยจะช่วยบรรเทาอาการได้ แต่ความจริงแล้วหากนวดแผนไทยขณะมีไข้อาจทำให้อาการปวดรุนแรกว่าเดิมได้
- นวดขณะปวดกล้ามเนื้อ ผู้ที่นวดแผนไทยเพื่อการรักษา เช่น ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ มีแนวโน้มจะระบมกล้ามเนื้อหลังรับการนวดได้ง่ายกว่าคนอื่น
- นวดแผนไทยหลังเกิดการอักเสบ หากเกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ เส้นเอ็นอักเสบเฉียบพลัน จนมีอาการปวด บวม แดง ไม่ควรรับการนวดแผนไทยทันที เพราะอาจทำให้ปวดมากขึ้นหลังนวดแผนไทย
- นวดหรือกดแรงไป บางกรณีผู้นวดอาจลงน้ำหนักมากเกินไปจนทำให้เจ็บ คุณควรแจ้งกับผู้ให้บริการทันทีเพื่อลดน้ำหนักมือลง
- มานวดแผนไทยครั้งแรก ผู้ที่มานวดแผนไทยครั้งแรก หรือแม้แต่ไม่ได้นวดแผนไทยมานานมากแล้วอาจยังไม่ชินกับการลงน้ำหนักของผู้ให้บริการ ทำให้เกิดการระบมหลังรับบริการได้
10. ต้องนวดแผนไทยบ่อยไหม? จำนวนครั้งและความถี่ของการนวดแผนไทยนั้นอาจแตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสมของแต่ละคน แต่โดยทั่วไปหากต้องการนวดเพื่อสุขภาพก็สามารถนวดแผนไทยได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือในกรณีที่นวดเพื่อรักษาอาการปวด อาจนวดวันเว้นวัน และค่อยๆ เว้นระยะห่างขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออาการปวดดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะนวดแผนไทยเพื่อจุดประสงค์ใด ก็ไม่ควรนวดติดต่อกันทุกวัน ควรเว้นวันให้กล้ามเนื้อได้พักบ้าง อาจปรึกษาแพทย์หรือผู้ให้บริการนวดแผนไทยเพื่อวางแผนการนวดที่เหมาะสมกับตัวเอง
โดยสรุปแล้ว การนวดแผนไทยถือเป็นศาสตร์โบราณอย่างหนึ่งที่มีประโยชน์หลากหลาย เช่น ลดอาการปวดเมื่อย ปวดหัว เพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดความเครียด วิตกกังวล ซึ่งปัจจุบันได้รับการยอมรับจากวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ แต่ทั้งนี้ ก็อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคนเสมอไป โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพและอาจได้รับผลกระทบจากการนวดแผนไทย ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อนนัดหมายนวดเสมอ
____________________
ขอขอบคุณ
มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
https://www.hdmall.co.th/
ชลบุรี เป็นชื่อจังหวัดที่ติดกับอ่าวไทยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก มีพื้นที่ทั้งหมด 4,363 ตารางกิโลเมตรซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลายแห่งของประเทศตั้งอยู่ นอกจากด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแล้ว...
จังหวัดชลบุรี
ชลบุรี เป็นชื่อจังหวัดที่ติดกับอ่าวไทยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก มีพื้นที่ทั้งหมด 4,363 ตารางกิโลเมตรซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลายแห่งของประเทศตั้งอยู่ นอกจากด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแล้ว ในขณะเดียวกันนั้นยังถือว่าเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเป็นอย่าง มาก ในด้านพานิชยกรรมและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของประเทศแห่งหนึ่งด้วย ในอดีตจังหวัดชลบุรีนั้นเคยเป็นแหล่งที่ตั้งของเมืองท่าที่มีความสำคัญมาก แม้แต่ในปัจจุบันนี้ก็ยังคงเป็นที่ตั้งของท่าเรือที่มีความสำคัญของประเทศ รองจากท่าเรือกรุงเทพ นั่นก็คือท่าเรือแหลมฉบัง เนื่องจากมีทำเลที่ตั้งเหมาะสม จังหวัดชลบุรีนั้นมีอาณาเขตติดกับจังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดระยอง และจังหวัดจันทบุรี
หน่วยการปกครอง
การปกครองแบ่งออกเป็น 11 อำเภอ ได้แก่
1. อำเภอเมืองชลบุรี
2. อำเภอหนองใหญ่
3. อำเภอพนัสนิคม
4. อำเภอบ้านบึง
5. อำเภอพานทอง
6. อำเภอบ่อทอง
7. อำเภอศรีราชา
8. อำเภอบางละมุง
9. อำเภอสัตหีบ
10. อำเภอเกาะสีชัง
11. อำเภอเกาะจันทร์
คำขวัญประจำจังหวัด
ทะเลงาม ข้าวหลามอร่อย อ้อยหวาน จักสานดี ประเพณีวิ่งควาย
ต้นไม้ประจำจังหวัด
ต้นประดู่ เป็นพรรณไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศมาเลเซีย และอยู่ในแถบอันดามัน มัทราช เบงกอล ส่วนอีกข้อมูลระบุว่า มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ต้นประดู่จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นมีความสูงประมาณ 20-25 เมตร หรืออาจสูงกว่า จะผลัดใบก่อนการออกดอก แตกกิ่งก้านเป็นทรงพุ่มกว้าง และปลายกิ่งห้อยลง เปลือกลำต้นหนาเป็นสีน้ำตาลเทา แตกหยาบๆ เป็นร่องลึก ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการปักชำกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ต้องการน้ำปานกลาง เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ชอบแสงแดดจัด มักพบขึ้นตามป่าเบญจพรรณทางภาคใต้ สามารถปลูกได้ทั่วไป
ดอกไม้ประจำจังหวัด
ดอกประดู่ ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะ โดยจะออกบริเวณซอกใบหรือที่ปลายกิ่ง โคนก้านมีใบประดับ 1-2 อัน ลักษณะเป็นรูปรี กลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ ติดกันเป็นถ้วยสีเขียว ปลายแยกเป็นแฉก 2 แฉก แบ่งเป็นอันบน 2 กลีบติดกัน และอันล่าง 3 กลีบติดกัน ส่วนกลีบดอกมี 5 กลีบ สีเหลืองแกมแสด ลักษณะของกลีบเป็นรูปผีเสื้อ ดอกมีเกสรเพศผู้ 10 อัน ก้านชูอับเรณูติดกันเป็น 2-3 กลุ่ม ส่วนเกสรเพศเมียมี 1 อัน ดอกมีกลิ่นหอมแรง จะบานและร่วงพร้อมกันทั้งต้น โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน
ผลไม้ประจำจังหวัด
สัปปะรดศรีราชา เป็นสับปะรดที่มีลักษณะพิเศษคือ เนื้อสีเหลือง ฉ่ำ รสหวานจัด ลูกกลมแป้น ปลายจุกแหลม ให้ผลผลิต ตลอดทั้งปี มีสารอาหารที่มีประโยชน์จำนวนมากและมีคุณค่าทางยาสูง มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารจำพวกเนื้อ เสริมการดูดซึมอาหาร ดับร้อนแก้กระหาย นอกจากนี้ในสับปะรดยังมีสารจำพวก น้ำตาล กรด วิตามิน อยู่หลายชนิด การรับประทานสับปะรดเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรค ไตอักเสบ ความดันโลหิตสูง หลอดลมอักเสบ แต่ในสับปะ รดที่เริ่มมีสภาพนิ่ม มีน้ำเหนียวๆ ไหลออกมาแสดงว่าสุกมากเกินไปและเริ่มเน่าแล้วนั้น ไม่ควรนำมารับประทาน เพราะจะมีสารที่อาจเป็นภัยต่อร่างกายได้
แหล่งท่องเที่ยว ได้แก่
อ่างศิลา เขาสามุก หาดบางแสน ศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเล หนองมน สนามกอล์ฟบางพระ สวนสัตว์เปิดเขาเขต ศรีราชา เกาะสีชัง หาดผาแดง อ่าวอุดม แหลมฉบัง สวนแสดงช้าง สวนนงนุช หาดจอดเทียน ซีแชนด์คลับ บางเสร่ วัดญาณสังวราราม สวานป่าพณารักษ์ สนามแข่งรถพัทยาเซอกิต ปราสาทไม้สัจธรรม พิพิธภัณฑ์ริบลีย์ เกาะลอย เกาะล้าน เมืองจำลอง
ขอขอบคุณ
www.clonedbabies.com
www.medthai.com
www.thaigreenagro.com
ใครหลายคนมีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี จะลงทุนสร้างธุรกิจตัวเอง หรือจะซื้อแฟรนไชส์แบรนด์ดังๆ แบบไม่ต้องเสียเวลาสร้างธุรกิจ แบบไหนดีกว่ากัน ไม่ต้องกังวลให้ปวดหัว
เปรียบเทียบชัดๆ ลงมือทำเอง หรือ จะซื้อแฟรนไชส์
เปรียบเทียบชัดๆ ลงมือทำเอง หรือ จะซื้อแฟรนไชส์
ใครหลายคนมีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี จะลงทุนสร้างธุรกิจตัวเอง หรือจะซื้อแฟรนไชส์แบรนด์ดังๆ แบบไม่ต้องเสียเวลาสร้างธุรกิจ แบบไหนดีกว่ากัน ไม่ต้องกังวลให้ปวดหัว
ลงทุนสร้างธุรกิจเอง
การลงทุนสร้างธุรกิจด้วยตัวเอง นับเป็นโอกาสดีในการเริ่มทุกอย่างจากศูนย์ ซึ่งบางคนมองว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น มีความท้าทาย ขณะที่บางคนไม่กล้า กลัวที่จะต้องเริ่มต้นจากศูนย์ ดังนั้น การสร้างธุรกิจด้วยตัวเองนั้น อาจจะเหมาะสำหรับคนที่มีไอเดียธุรกิจแปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร และต้องการเป็นผู้ควบคุมและตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง
การเริ่มต้นจากศูนย์ อาจเป็นข้อด้อยของการลงทุนด้วยตัวเองเช่นกัน เนื่องจากจะต้องเริ่มคิดยี่ห้อแบรนด์ วางแนวทางการเติบโต มองหาทำเลที่ตั้งและตกแต่งร้าน ไปจนถึงรูปแบบของสินค้าและการให้บริการ และลงมือทำแผนเหล่านี้ให้สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างด้วยตัวเอง ขั้นตอนทั้งหมดค่อนข้างใช้เวลานานพอสมควร ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาอีกมากมาย
ข้อด้อยอีกอย่างของการสร้างธุรกิจเอง คือ ต้องมีเงินทุนสำรองเพียงพอ เพื่อสนับสนุนธุรกิจในช่วงที่ทุกอย่างกำลังดำเนินการและพัฒนา โดยที่เจ้าของกิจการมือใหม่อาจต้องลองผิดลองถูก และเผชิญปัญหาที่ไม่คาดฝันในระหว่างนั้น
สรุป…สร้างธุรกิจด้วยตัวเอง ดี-เสีย อย่างไร
- มีอิสระในการตัดสินใจกำหนดทิศทาง และบริหารธุรกิจได้เต็มที่ตามไอเดียของตัวเองทั้งหมด
- ไม่ต้องแบ่งกำไร คุณสามารถบริหารกำไรของคุณทั้งหมด
- ต้องเริ่มลงทุนและสร้างธุรกิจด้วยตัวเองทั้งหมด และคาดการณ์การสั่งซื้อสินค้าด้วยตัวเอง อาจก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
- เริ่มต้นได้ช้า เพราะอาจจะเสียเวลาเรียนรู้ วางรากฐาน ตั้งต้นธุรกิจทั้งการตลาด การบัญชี การเงิน ฯลฯ แบบลองผิดลองถูก
- ต้องเริ่มสร้างแบรนด์จากศูนย์ และใช้เวลาจำนวนมาก เพื่อสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จัก
- ยังไม่สามารถต่อรองกับผู้ผลิตได้มากนัก เนื่องจากจำนวนการสั่งซื้อสินค้ายังไม่มาก
ซื้อแฟรนไชส์
การซื้อธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นทางลัดในการทำธุรกิจ จ่ายเงินค่าแฟรนไชส์พร้อมรับการอบรม ก็เปิดร้านขายได้เลย เจ้าของแฟรนไชส์จะวางระบบต่างๆ ไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชื่อกิจการ สูตร โปรโมชั่น รูปแบบการขาย
ผู้ซื้อแฟรนไชส์เพียงจ่ายเงินค่าธรรมเนียมแลกกับสิทธิ์ ในการใช้ชื่อและกระบวนการต่างๆ จากนั้นเจ้าของแฟรนไชส์จะจัดการหาทำเล ตั้งร้าน ติดต่อซัพพลายเออร์ ฝึกอบรม จนกระทั่งสามารถเปิดร้านได้ โดยที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาคิดค้นกลยุทธ์เอง
ส่วนข้อเสียของการซื้อธุรกิจแฟรนไชส์ คือ ผู้ชื้อแฟรนไชส์มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินค่ารอยัลตี้ หรือค่าสิทธิต่อเนื่อง ซึ่งคำนวณจากรายได้ในการดำเนินธุรกิจให้แก่เจ้าของแฟรนไชส์ในแต่ละเดือน 3-5% ทั้งยังไม่มีโอกาสในการควบคุมการดำเนินกิจการ
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบสินค้าหรือบริการ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าของแฟรนไชส์ก่อน และจะต้องแบกรับความเสี่ยงต่อชื่อเสียงในแง่ลบของเจ้าของแฟรนไชส์ รวมถึงผลกระทบจากแฟรนไชส์เจ้าอื่น ที่ตั้งอยู่ในทำเลใกล้เคียงด้วย
สรุป…ซื้อแฟรนไชส์ ดี-เสีย อย่างไร
- มีข้อกำหนดจากเจ้าของแฟรนไชส์ ที่อาจก่อให้เกิดข้อจำกัด ที่ทำให้ไม่สามารถบริหารร้านของตัวเองได้อย่างเต็มที่
- อาจมีการแบ่งกำไรบางส่วนแก่เจ้าของแฟรนไชส์ เพื่อใช้ในการสนับสนุนการสร้างแบรนด์และทำการตลาดอื่นๆ
- อาจต้องเตรียมเงินจำนวนหนึ่ง เพื่อใช้ซื้อสิทธิ์ในการบริหาร หรือชำระค่าธรรมเนียมแรกเข้า
- เริ่มต้นได้ทันใจกว่า เพราะมีระบบการจัดการและการปฏิบัติงานที่มีมาตรฐานเตรียมไว้ให้แล้ว พร้อมทั้งมีการฝึกอบรมก่อนเริ่มบริหารจริง ซึ่งถ้าเป็นแฟรนไชส์ที่มีมาตรฐานจะมีการจัดการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง
- สามารถใช้ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่มั่นคงของแฟรนไชส์ได้ และธนาคารมีแนวโน้มปล่อยเงินกู้ง่ายกว่า โดยเฉพาะหากเป็นแฟรนไชส์แบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ
- เนื่องจากทางผู้จำหน่ายแฟรนไชส์ มีจำนวนการสั่งซื้อสินค้าที่มีปริมาณมาก จึงทำให้มีอำนาจการต่อรองที่สูงกว่า และสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
จะเห็นได้ว่า ทั้งการสร้างธุรกิจด้วยตัวเอง และ การซื้อแฟรนไชส์ มีทั้งข้อดี ข้อเสีย เหมือนๆ กัน ซึ่งใครที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ต้องศึกษาหาข้อมูลดูก่อนว่า สร้างธุรกิจเอง หรือ ซื้อแฟรนไชส์ แบบไหนเหมาะกับตัวเองมากที่สุด แล้วความสำเร็จจะรอคุณอยู่ข้างหน้า เพียงแค่ตั้งใจทำอย่างสุดความสามารถ ลงมือทำอย่างจริงจัง
อาหารสำเร็จรูป VS ผสมเอง อย่างไหนตอบโจทย์ชาวปศุสัตว์ – ปศุศาสตร์
ปัจจุบันเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ตระหนักถึงต้นทุนด้านอาหารสัตว์กันมากขึ้น เพราะสัตว์ที่เลี้ยงต้นทุนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ค่าอาหารเป็นหลัก โดยในสัตว์ปีกใช้มากถึง 70% ทำให้หลายๆ คนมองหาแหล่งอาหารสัตว์ที่มีต้นทุนถูกลง เพื่อลดต้นทุนการผลิต ทว่าในปัจจุบันมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือ "การผสมอาหารใช้เอง" โดยใช้หลักความน่าจะเป็นกับการเทียบสูตรให้ได้โภชนตามที่สัตว์ต้องการ และ "อาหารสำเร็จรูป" ของแต่ละบริษัท
ฉะนั้นการที่จะใช้อาหารรูปแบบไหน? หรือแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นทางเลือกในการประกอบการตัดสินใจของเกษตรกร เราจึงนำบทความที่เปรียบเทียบถึงความแตกต่าง พร้อมสอดแทรกวิธีการแก้ปัญหา ดังนี้
- ความสม่ำเสมอของโภชนะอาหารสัตว์
- อาหารผสมเอง ความสม่ำเสมอขึ้นอยู่กับการจัดการ ต้องมีการวางแผนเรื่องการหาวัตถุดิบมาผสมอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 1-2 เดือน ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาวัตถุดิบอาหารไม่เหมือนเดิม ส่งผลต่อการกินของสัตว์ที่ลดลง และส่งผลกระทบต่อผลผลิตด้วย หากหาไม่ทันก็จะทำให้เกิดการขาดช่วงก็จะส่งผลต่อผลผลิตเช่นกัน สำหรับวัตถุดิบอาหารสัตว์โดยเฉพาะที่หามาเองจากธรรมชาติ ต้องมีการตรวจสอบคุณภาพอยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้อาหารแต่ละมื้อ แต่ละวันใกล้เคียงกันมากที่สุด
- อาหารสำเร็จรูป หากเลือกซื้ออาหารจากบริษัทที่น่าเชื่อถือได้ เขาก็จะผลิตอาหารออกมาอย่างต่อเนื่อง สั่งสต็อกไว้ไม่ต้องเยอะมากได้ เพื่อคงความสดใหม่ สัตว์จะได้กินอาหารที่ไม่ค้างเก่านาน เพราะที่กระสอบอาหารจะมีแจ้งล็อตการผลิต ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่าอาหารนั้นผลิตมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ข้อควรระวัง และสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้คือ วัตถุดิบที่นำมาใช้ผสมทำอาหารสำเร็จ จะมีการเปลี่ยนแปลง หรือใช้วัตถุดิบทดแทนอย่างไรบ้าง
- ราคาวัตถุดิบ/ ต้นทุนอาหารสัตว์
- อาหารผสมเอง ราคาถูกกว่า และเกษตรกรสามารถเลือกสรรวัตถุดิบมาผสมเองได้ สามารถรู้แหล่งต้นทางของวัตถุดิบอาหารที่หามาเองได้ ซึ่งจะทำให้การคำนวณค่าอาหารได้ง่าย สามารถปรับเปลี่ยนวัตถุดิบได้ในระหว่างการเลี้ยงสัตว์ เมื่อมีวัตถุดิบบางชนิดแพงหรือถูกกว่า
- อาหารสำเร็จรูป ราคาค่อนข้างสูงกว่า เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ต้องจ่ายให้กับบริษัท ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าผสม ค่าอุปกรณ์เครื่องมือการผสมต่างๆ รวมถึงค่าขนส่งด้วย แต่ว่าข้อดีคือ ง่ายต่อการจัดการ เพราะไม่ต้องเสียเวลาผสมอาหารเอง ไม่ต้องกังวลเรื่องการหกหล่นของอาหาร เพราะอาหารที่มาจากบริษัทจะถูกบรรจุอยู่ในกระสอบ หรือใส่เบ้าท์อย่างดี
- ความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อตัวสัตว์
- อาหารผสมเอง หากมีการปนเปื้อนเชื้อ หรือสิ่งแปลกปลอมระหว่างการผสม อาจส่งผลให้สัตว์เสี่ยงต่อการป่วย หรือเกิดโรคอันไม่พึงประสงค์ได้ เช่น เกิดเชื้อราในอาหาร ดังนั้นต้องมีการตรวจสอบแหล่งที่มาและการเก็บรักษาให้ดี
- อาหารสำเร็จรูป จะมีความปลอดภัยมากกว่า เพราะเครื่องมือการผสมจะมีการควบคุมการทำงานด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย และควบคุมการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ แต่ใช่ว่าจะไว้ใจได้เช่นกัน เพราะทุกอย่างย่อมเกิดเหตุฉุกเฉินได้เสมอ ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาทเกษตรกรควรมีการตรวจเช็คสภาพอาหารภายนอกเบื้องต้นอยู่เสมอ
- ความสะดวก/ เวลาในการใช้
- อาหารผสมเอง เกษตรกรต้องสละเวลา ไม่ตัวเองก็ต้องจ่ายค่าจ้างคนงานผสมอาหาร แต่หากไม่ติดปัญหาเรื่องนี้ก็สามารถทำได้
- อาหารสำเร็จรูป สะดวกต่อการใช้งานมากกว่า แต่เกษตรกรจะเสียเงินแพงกว่าผสมอาหารเอง
- การเก็บรักษา
- อาหารผสมเอง อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น เกษตรกรต้องมีการวางแผนเช็คสต็อก เตรียมวัตถุดิบที่จะนำมาผสมอาหารให้ดี และควรมีโรงเก็บอาหารที่มิดชิด ไม่เสี่ยงต่อการเกิดความเสียหาย อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอของวัตถุดิบอาหารล็อตนั้นๆ ด้วย
- อาหารสำเร็จรูป การเก็บรักษาทำได้สะดวก แค่ระวังเรื่องสัตว์พาหะที่จะเข้าไปกัดกินอาหารสัตว์เท่านั้น อายุการใช้งานสามารถตรวจสอบได้
ทั้งนี้ไม่ว่าจะเลือกใช้อาหารในรูปแบบใดก็ตาม ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม โครงสร้างการเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรด้วย รวมถึงจุดคุ้มทุน หากเลี้ยงแล้วขาดทุนถามว่าจะเลี้ยงทำไม? ลองทบทวนดูว่าจริงหรือไม่? ยกตัวอย่างเช่น หากจำนวนตัวสัตว์ที่เกษตรกรเลี้ยงไม่มาก ผสมอาหารเองมองว่าคุ้มกว่าก็ควรทำ อีกอย่างสามารถเลือกสรรวัตถุดิบอาหารเองได้ แต่หากเลี้ยงในจำนวนมากก็ต้องคำนึงถึงความสะดวก เวลา และความพร้อมของเกษตรกรเองด้วยว่าหากต้องมีการผสมอาหารใช้เอง คิดว่าจะไหวหรือไม่?
หลายคนเริ่มทำอาหารเพราะเบื่อ เพราะอยากประหยัด ในช่วงเก็บตัวช่วยชาติ แต่กลับค้นพบว่าการเข้าครัวทั้งสนุกและมีความสุข
ออกไปไหนไม่ได้ สั่งอาหารเดลิเวอรี่บ่อยๆ ก็อาจจะหมดตัว บวกกับมีเวลาเหลือเฟือ เราเลยได้เห็นเหล่าคนรู้จักที่ปกติหนึ่งเดือนอาจจะเข้าครัวสัก 1 ครั้ง (หรือบางคนอาจ 3 เดือนครั้ง) ลุกขึ้นมาคว้ากระทะ ตะหลิว หม้อ แสดงฝีมือทำอาหารกินเอง อาจจะขลุกขลักหรือต้องลองผิดลองถูกกันบ้าง แต่จากปากคำของเพื่อนๆ เหล่านี้ ชัดเจนว่าการลงมือทำอาหารเองไม่เพียงแค่ประหยัด สะอาด มั่นใจได้ ยังช่วยบำบัดจิต ทำให้การเก็บตัวในบ้านไม่น่าเบื่อจนเกินไป
ปกติแล้วฝนเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ทำอาหารเอง เพราะว่าไลฟ์สไตล์เป็นคนที่มีกิจกรรมนอกบ้านตลอดเวลา ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้วก็ถึงบ้านดึก มีหลายครั้งคิดอยากจะเตรียมอาหารไว้ก่อนนอน เพื่อตอนเช้าจะได้เอาไปกินที่กองละคร แต่ผ่านมาราวๆ 7 ปี ตั้งแต่ทำงาน ก็ไม่เคยทำสำเร็จเลย อยากจะทำอาหารคลีนกินตอนไดเอตก็ไม่สำเร็จ บางครั้งมีวันหยุดก็จะออกไปซื้อของมาทำอาหาร ไม่ว่าจะเป็น เส้นสปาเกตตี้ เครื่องปรุงต่างๆ เนื้อสัตว์ สุดท้ายก็ทำได้แค่มื้อเดียว ของต่างๆ ที่ซื้อมาก็ต้องทิ้งเพราะไม่ได้ทำอีกเลย หลังจากนั้นก็ไม่ได้เข้าครัวนานมากๆ เพราะรู้ว่าต้องซื้อของมาทิ้งอีกแล้ว จนมาเจอสถานการณ์ไวรัสระบาด เป็นไฟต์บังคับให้ต้องอยู่บ้าน แถมต้องอยู่คนเดียวด้วย เป็นโอกาสดีที่จะได้เข้าครัว ฝนจึงเลือกซื้อของจากซูเปอร์มาร์เกต มาทำเมนูง่ายๆ ที่จะกินได้ทุกวันและใช้เครื่องปรุงไม่เยอะมาก
สูตรต่างๆ จะหาจาก google ลองเอาหลายๆ เว็บมาเทียบกัน ว่าสูตรไหนง่ายกว่า แล้วเวลาทำก็จะคอยชิมคอยปรุง ถ้าเป็นอาหารเช้าก็จะดูจากร้านอาหาร คาเฟ่ที่เราเคยไปกิน แล้วเป็นเมนูง่ายๆ ก็จะดูแล้วซื้อตาม ไม่ว่าจะเป็น ขนมปังโฮลวีท เนยถั่ว ผลไม้หลากชนิด บางครั้งก็ทำสมูตตี้โยเกิร์ตปั่นใส่ผลไม้
หลังจากมีเวลาเข้าครัว รู้สึกมีความสุขมากๆ เหมือนเราได้ค่อยๆ หยิบนั่นจับนี่ มาสร้างจนเป็นเมนูอาหารที่เราทั้งบอกตัวเองว่าอร่อยและภูมิใจ ตอนเข้าครัวเป็นช่วงที่ทำให้ใจเย็น ไม่คิดฟุ้งซ่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ตอนอยู่ออฟฟิศเก่า ทำอาหารประมาณอาทิตย์ละสามวัน บางวันตื่นทันก็ดริปกาแฟไปกินที่ออฟฟิศด้วย คือเป็นคนชอบการทำอาหารอยู่แล้วประมาณนึง แต่พอย้ายมาทำเอเจนซี่ ช่วงงานพีคๆ นี่เวลาจะซักผ้ายังแทบไม่มีเลย ไม่ต้องพูดถึงทำอาหารเลยอ่ะ แต่ตอนนี้ออฟฟิศให้ work from home ก็เลยมีเวลาทำโน่นทำนี่มากขึ้น ได้กลับมาทำอาหารกินเอง แล้วรู้สึกว่า เฮ้ย นี่เราไม่ได้สนุกแบบนี้มาครึ่งปีกว่าเลยนะ ที่ผ่านมาเรากินอะไรเข้าไปบ้าง แทบไม่ได้คิดเลย คือกินเป็นพิธี ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องสารอาหารเลย
เพราะโควิด -19 แหละ บวกกับอาหารเป็นพิษด้วย ความระแวงมันเลยคูณสอง เลยซื้อพวกผัก เนื้อหมู เส้นสปาเกตตีมาเก็บไว้ทำกินเอง พอได้ซื้อเองทำให้เราได้คิดเรื่องสารอาหารที่จะกินเข้าไปมากขึ้น อย่างในหอมีแค่กาน้ำร้อนกับหม้อหุงข้าวเล็กๆ แล้วมันร้อนช้า เวลาผัดก็จะไม่ค่อยสะดวกเท่าไร แต่ยังพอถูไถ พอช่วงนี้ทำบ่อย ก็เริ่มมีความคิดละว่า อยากซื้อกระทะ อยากได้เครื่องปิ้งขนมปังด้วย เลยเถิดอ่ะ ฮ่าๆๆ
ส่วนใหญ่เลยชอบทำต้มๆ กับอาหารพวกผัด อย่างแกงกิมจิ ผัดผัก สูตรตามใจฉันจริงๆ เพราะเราไม่ได้มีครบทุกอย่างตามสูตร มันเลยต้องปรับเองตามความเป็นจริง ซึ่งก็สนุกดี อย่างในรูปคือการทำสปาเกตตีเองครั้งแรง ตื่นเต้น เราว่าการทำอาหารมันทำให้เรามีสมาธิจดจ่ออยู่กับหม้อใบตรงหน้า กับผักที่หั่นว่าหนาไปไหม จะสุกยากหรือเปล่า มันคือความสนุกที่ไม่ได้มีเสียงหัวเราะออกมา แต่มันทำงานกับใจเราตลอดเวลา ตั้งแต่ปรุงจนถึงตอนกินเลย
ที่จริงก่อนหน้านี้ ช่วงที่ยังไม่ได้ยุ่งมากๆ ชอบลองทำอาหารอยู่แล้ว เพราะเป็นคนเรื่องมากเรื่องกิน เลยอยากลองหัดทำเพื่อจะได้เลือกรสชาติที่ตัวเองชอบได้ เลยมีเมนูที่พอทำเป็นอยู่บ้าง ซึ่งทุกเมนูก็ได้มาจากแม่หมด เพราะแม่ทำอาหารอร่อยมาก ติดรสมือแม่มาตั้งแต่เด็ก เราชอบอาหารไทย เลยให้แม่สอนพวกผัดกะเพรา แกงเผ็ดต่างๆ (แต่ยังไม่ถึงขั้นโขลกพริกแกงเองนะ) ก็จำสูตรเหล่านั้นติดหัวมาตลอด
พอถึงช่วงนี้ที่ได้เก็บตัวอยู่กับบ้าน เริ่ม work from home ก็กลายเป็นว่ามีเวลาอยู่กับบ้านมากขึ้น บวกกับอยากจะมั่นใจว่าอาหารมันสะอาดด้วยนิดนึงมั้ง ก็เลยกลับมาทำเอง วันแรกที่คอนโดฯ ประกาศว่ามีผู้ติดเชื้อ คืนนั้นก็ไปเข้าซูเปอร์ฯ ซื้อข้าวสาร ตุนของสดทันทีเลย เดินอยู่ 2 ชั่วโมง ฮ่าๆๆ ซึ่งก็กลายเป็นดีมาก แอบสนุกนิดหน่อย ได้รื้อฟื้นวิชา ได้กินอาหารทำสดทุกวัน และรสชาติเป็นไปอย่างที่คิด ได้ล้างหม้อล้างจาน ถูห้อง รู้สึกว่าบาลานซ์ชีวิตกลับมาดีขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้านี้ที่ทำงานอยู่นอกบ้านจนได้อยู่บ้านแค่นิดเดียว แฮปปี้นะ
ปกติเป็นคนขี้เกียจทำอาหารเพราะเสียเวลาทำงาน แต่พอช่วงนี้ว่างงาน ร้านอาหารที่นี่ทั้งหมดถูกสั่งปิดหน้าร้าน (มีแต่เดลิเวอรี่) ประกาศงดออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น สถานการณ์มันบังคับให้ต้องทำอาหารเอง เพราะต้องประหยัด สั่งอาหารนอกบ้านทุกมื้อโดยไม่มีรายได้ก็ไม่ไหว (สั่งอาหารที่นิวยอร์กมื้อหนึ่งไม่ต่ำกว่า $15)
รูมเมทในบ้านก็คุยกันทุกวันว่าอยากกินอะไร โชคดีที่เป็นคนไทยกันเกือบหมด (มีชาวอเมริกันที่เป็นแฟนเพื่อนคนไทย1คน) เมนูที่ส่วนใหญ่เป็นอาหารไทยที่ทำไม่ยาก เช่น ยำวุ้นเส้น กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา น้ำตกหมู สุกี้แห้ง สูตรก็หาจากในเน็ตเลย แต่บางเมนูก็มีหลายสูตร สุดท้ายก็ใช้สูตรมั่ว ฮ่าๆๆ แต่ก็อร่อยอยู่นะ อิอิ
ทุกวันก็จะช่วยกันทำอาหารทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น ผลัดกันเตรียม ผลัดกันปรุง ผลัดกันชิม เป็นกิจกรรมประจำวันในทุกๆ วัน สนุกดี แก้เบื่อยามว่างได้ดี หลังจากนี้คิดว่าน่าจะทำอาหารเก่งกันขึ้นทุกคน แม่ของพวกเราต้องภูมิใจ ฮ่าๆๆ
ปกติไม่ได้ทำอาหารกินเองค่ะ นาน ๆ จะทำสักครั้งหนึ่ง ทำได้วัน 2 วันก็เลิก แต่ช่วงนี้สถานการณ์มันบีบ ที่ลุกมาทำเองเพราะไม่ไว้ใจความสะอาด เมื่อก่อนชอบกินส้มตำมาก แทบจะกินวันเว้นวัน พอมีโควิด19 ไม่กล้าซื้อเลย แทบจะลงแดงเพราะขาดส้มตำ แล้วพอเลี่ยงไปกินอาหารร้อนๆ อย่างก๋วยเตี๋ยว แต่ก็ไปเห็นแม่ค้าเอามือจับหมูแดงมาโปะใส่จานให้เราอีก ฟางเส้นสุดท้ายจริงๆ ที่ทำให้ลุกขึ้นมาทำเองหมดคือ วันนั้นไปกินร้านตามสั่งที่คอนโดฯ ปรกติคนน้อยไม่แออัด ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าคนเดียวในร้าน เลยวางใจไม่ใส่หน้ากาก ดันมีลูกค้าอีกโต๊ะมานั่งกินด้วย แล้วเค้าจามเสียงดังลั่นแล้วไม่ใส่หน้ากาก ไม่ปิดปาก เราเลยผวากลัวติดโควิด เพราะคิดว่าแม่ค้าคงไม่เช็ดโต๊ะหลังจากลูกค้าลุกไปแน่ๆ ทำให้ตัดสินใจเลิกซื้ออาหารเด็ดขาดค่ะ
อีกอย่างทำอาหารกินเอง คือทำตามหลัก social distancing เพราะไม่งั้นก็จะต้องออกไปซื้ออาหารเป็นประจำทุกมื้อ หรืออย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง (ปรกติเป็นคนไม่สั่งอาหารเดลิเวอรี่ค่ะ) พอทำกินเองแล้ว อาทิตย์นึงเราค่อยออกไปซื้อกับข้าวมาครั้งนึง เมนูที่เลือกทำก็จะเป็นเมนูง่ายๆ ที่ทำได้แล้วถูกปาก สูตรก็จำมาจากที่เคยเห็นแม่ทำบ้าง ใช้เซนส์บ้าง ฮ่าๆๆ แล้วก็เปิดเน็ตเอาค่ะ ดูหลายๆ ที่เทียบกัน ตอนนี้ปลูกถั่วงอกกินเองแล้วเอาไปผัดน้ำมันหอยด้วย แกงเหลืองยอดมะพร้าวก็มี ซุปเต้าเจี้ยวนี่ทำบ่อยไว้ซดคล่องคอ ดี นี่กำลังจะทำซุปเต้าหู้กิมจิแบบเกาหลีตามสูตรในซีรีส์ Itaewon Class ด้วย ฮ่าๆ
ทำอาหารเอง รู้สึกว่าวุ่นวาย กว่าจะได้กิน หิวซ่กเลย แล้วตอนเก็บล้างอีก แต่ทุกวันนี้เหมือนจะปรับตัวได้แล้ว กลายเป็นเรื่องสนุกในการคิดหาเมนูที่จะทำแต่ละวัน มีถึงขนาดเสิร์ชหาวิธีถนอมอาหาร พวกทำยังไงถึงจะเก็บกะเพรา ต้นหอม ผักชี เอาไว้กินได้นานๆ ไม่ให้มันเน่าไปเสียก่อน อย่างวันนี้ปั่นงานเสร็จชิ้นหนึ่งก็แวบไปหมักหมูแช่น้ำปลาทิ้งไว้แล้วกลับมานั่งทำงานต่อ พอเสร็จงานก็ได้เวลาทอดหมูกินข้าวพอดีเลยค่ะ
นี่พี่สาวมาเล่าให้ฟังว่าโดนแม่ปรามาสเอาไว้ว่า มันจะทำไปได้ซักกี่มื้อ เดี๋ยวก็เลิกทำ 55555 แต่สรุปว่าตอนนี้ทำมาจะ 2 อาทิตย์แล้วค่ะ แล้วรู้สึกว่าปรับตัวได้มากขึ้น กลายเป็นเรื่องสนุกไปแล้ว แล้วมันช่วยให้ผ่อนคลายจากการนั่งทำงานอยู่หน้าจออย่างเดียวด้วย
จริงๆ ตอนเด็กๆ ชอบทำอาหารนะ แต่พอโตมาสักพักเวลาน้อยลงไม่ได้เข้าครัวอีกเลย ช่วงเก็บตัว ไม่ได้คิดจะอยากทำ แต่บังเอิญเป็นช่วงที่พี่เลี้ยงเรากลับบ้าน แล้วถูกกักตัวไว้ที่ต่างจังหวัดกลับมาไม่ได้ พอตื่นเช้ามาจะต้องรีบประชุมออนไลน์ จะสั่งอาหารทางออนไลน์ก็ไม่ค่อยถนัด ปุ่มมันเยอะ แถมจะสั่งก็ไถนานอีก คิดภาพออกใช่มั้ย ตัวเลือกแม่งเยอะไป อยากกินเต็มไปหมด ตัดปัญหาโดยการทำเองเลยละกัน!
วิธีเลือกเมนูที่จะทำก็คือ จะเป็นคือเมนูที่ทำง่ายๆ เบอร์แบบ ไม่หั่นเนื้อสัตว์อ่ะ เพราะพื้นฐานกลัวมีดกลัวเลือด ตอนเด็กๆ นิ้วโป้งเกือบขาดมาแล้วเลยกลัว ข้อสองก็ เวลาเดินซูเปอร์ฯ มองอะไรแล้วสปาร์คก็เอาอันนั้นมาทำแหละ เจ้าอารมณ์นิดนึง เช่น มักกะโรนีรูปสัตว์ ตอนเด็กแม่น่าจะไม่ให้ซื้อให้มั้ง จับปุ๊ปสปาร์คเลย อยากได้มาก กับมักกะโรเกลียวที่มีสามสีอ่ะ แดง เขียว เหลือง กรี๊ดเลย เพราะที่บ้านซื้อแบบสีเดียวตลอด แล้วก็ของสนองนี้ด ที่เคยเห็นตาม Pinterest แล้วอยากกิน แบบผัก rocket อะโวคาโด้ สูตรทำอาหารก็จะเดินไปถามคนในบ้าน สนุกดีนะ มักกะโรนีต้มนานแค่ไหน มักกะโรนีผัดซอส ใส่ไช่หรือใส่ซอสก่อน อยากกินชะอม มันรูดยังไง แอบได้สานสัมพันธ์ในบ้านเบาๆ ทำออกมากินได้หมดนะ อร่อยไม่แบ่งใคร กลัวแบ่งแล้วเค้าจะรู้ว่าไม่อร่อย
ปกติเป็นช่างภาพค่ะ แต่ตอนนี้อยู่บ้านมาเกือบเดือนแล้ว เพราะว่างานเลื่อนทั้งหมด ทั้งกองโฆษณาและกองถ่าย เพราะสมาคมวิชาชีพสื่อมวลชนก็ออกมาขอความร่วมมือให้กองถ่ายใหญ่ๆ หลีกเลี่ยงการทำงานในช่วงนี้ด้วย ก็เลยได้ทำอาหารบ่อยขึ้นมากค่ะ เรียกว่าช่วงนี้ทำกินเองแทบจะทุกมื้อเลย
สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือต้องวางแผนเมนูมากขึ้น เพราะไม่อยากออกไปซื้อของบ่อยๆ ปกติคิดไว้สัก 3 เมนูแล้วค่อยออกไปซื้อ โดย 3 เมนูนี้อาจจะทำวันเว้นวัน แต่ช่วงนี้ต้องวางแผนเมนูทั้งอาทิตย์แล้วซื้อของทีเดียวเลย อะไรเสียง่ายก็หยิบมาทำก่อน ส่วนแผนสำรองก็คือสั่งออนไลน์จากเว็บไซต์ต่างๆ เดี๋ยวนี้กลุ่มตลาดออร์แกนิกก็มีบริการที่เกษตรกรมาส่งถึงมือคนซื้อเองเลยด้วย ดีที่เรายังพอมีทางเลือกบ้างในสถานการณ์แบบนี้ค่ะ
ปกติในชีวิตประจำจะไม่ได้เข้าครัวทำอาหารเลย ถ้าทำอาหารจะเป็นวันพิเศษหรือมีอะไรพิเศษถึงจะทำ เรามองว่าการทำอาหารเป็นพิธีกรรมอย่างนึง (หัวเราะ) พอช่วงนี้ที่ต้องหยุดอยู่บ้านมากขึ้น ก็หันมาเข้าครัวทำกับข้าวมากขึ้น เหตุผลหนึ่งก็คือพยายามหากิจกรรมอะไรทำมากขึ้น เพื่อลดความเครียด แล้วอีกอย่างเริ่มรู้สึกว่าค่าสั่งอาหารมันแพงขึ้นทุกทีๆ เลยสลับๆ กันไป สั่งอาหารบ้าง ทำกับข้าวกินเองบ้าง
จริงๆ ปัญหาหลักในการทำอาหารของเราคือการไปจ่ายตลาด เพราะเป็นเรื่องที่เหนื่อยสำหรับเรามาก บางทีหาซื้อวัตถุดิบได้ที่ตลาดสด แต่ของบางอย่างอาจหาได้ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตอะไรแบบนี้ แต่พอเริ่มไปบ่อยๆ เราก็จะเริ่มจับทาง ก็จะพยายามจัดการว่าถ้าวันนี้ไปตลาดสดต้องซื้ออะไร ถ้าไปซูเปอร์มาร์เก็ตต้องหาซื้ออะไร และช่วงนี้ก็คงทำอาหารบ่อยขึ้น เพราะบางทีมีเมนูที่เราชอบกิน บางร้านมันออกไปกินไม่ได้ หรือหาซื้อได้ยากขึ้น เราก็จะไปหาสูตรเอามาเก็บไว้ วันไหนอยากกินก็จะเอามาลองทำดู คิดว่ากว่าสถานการณ์โควิด 19 จะดีขึ้นน่าจะทำอาหารเก่งขึ้นเยอะ
เมื่อมหาวิทยาลัยประกาศปิดคณะ ย้ายทุกอย่างมาเรียนออนไลน์ เราเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ แต่บ้านต่างจังหวัดไม่มีอินเทอร์เน็ต จึงจำเป็นต้องอยู่คอนโดฯ ที่กรุงเทพต่อเพื่อเรียนหนังสือ การซื้ออาหารนอกคณะกินจะทำให้ค่าครองชีพของเราเพิ่มสูงขึ้นมาก ประกอบกับความไม่อยากออกจากห้องบ่อย เราเลยเลือกที่จะทำอาหารเอง และจากประสบการณ์ลูกมือคุณยายกว่ายี่สิบปี บ้าบอ อาหารที่เราทำรสชาติคล้ายอาหารคุณยายยังกับแกะ
ไก่เหล้าแดงส่งกลิ่นแอลกอฮอล์ แกงจืดมะนาวดองที่ยิ่งเก็บยิ่งเปรี้ยวอร่อย ไชโป้วผัดไข่เกรียมนิดๆ หรือแม้แต่ขนาดความสุกของไข่ลวก โดยสัญชาตญาณ เราทำอาหารด้วยวิธีเดียวที่เรารู้จัก คือวิธีแบบที่บ้าน เราใส่บางอย่างที่เราอยากกินเพิ่มเข้าไปบ้าง หรือใช้บางอย่างที่มีอยู่แทนวัตถุดิบที่ขี้เกียจซื้อบ้าง (เช่นการทำไก่เหล้าแดง ที่เราใส่แครอทกับข้าวโพดอ่อนเพิ่ม และใช้เหล้าพุทราดองเองแทนเหล้าจีน) แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ออกมาก็เป็นรสชาติแบบที่คุ้นเคยอยู่ดี นั่นทำให้ทุกครั้งที่ได้กิน มันเป็นความรู้สึกทั้งภูมิใจ ดีใจ อิ่มใจ ระคนอบอุ่นใจไปในคราวเดียวกัน
เพราะอาหารของคุณยายไม่ได้มีความหมายแค่การอิ่มท้อง เราว่า เราเลยเกิดมิกซ์ฟีลลิ่งมากมายขนาดนั้น มันมากกว่าแค่อร่อย อาหารคุณยายหมายถึงช่วงเวลาที่ทุกคนจะเข้าไปช่วยกันหั่นช่วยกันผัดในครัว แล้วก็คุยกันสัพเพเหระ การเอาอาหารมาให้คุณก๋งกินแล้วรอฟังว่าคุณก๋งจะชอบไหม หรือตอนที่ตักแกงจืดเป็นจานกลาง เผื่อคนที่จะมากินต่อ บางทีอาจเป็นเหล่านั้นต่างหากที่เราโหยหาที่สุด และเมื่อเราได้กินอาหารรสชาติแบบคุณยายผ่านฝีมือตัวเอง มันจึงเหมือนการได้พาตัวเองกลับไปอยู่กับครอบครัวสักวันละนิดละหน่อย
ที่มาและขอขอบคุณ:
http://www.thaismescenter.com/
http://pasusart.com/
https://krua.co/
หลายคนอาจเคยมีอาการคัดจมูก หรือรู้สึกคล้ายมีสิ่งอุดตันอยู่ภายในจมูกจนหายใจไม่สะดวก และบางครั้งก็อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ ซึ่งอาการคัดจมูกนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และการทำความเข้าใจ..
คัดจมูก สาเหตุและวิธีรักษา
คัดจมูก สาเหตุและวิธีรักษา
คัดจมูก (Nasal Congestion) เป็นภาวะที่รู้สึกมีสิ่งอุดตันอยู่ภายในจมูกจนทำให้หายใจได้ไม่สะดวก ส่วนมากเกิดจากการอักเสบและบวมขึ้นของเยื่อบุในทางเดินจมูกและโพรงอากาศข้างจมูก โดยเกิดขึ้นได้เป็นปกติทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ มักไม่ร้ายแรง เพียงแต่จะสร้างความรำคาญ ทั้งนี้หากเป็นอาการคัดจมูกในทารกนั้นต้องระวัง เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการหายใจหรือการให้นมได้
หลายคนอาจเคยมีอาการคัดจมูก หรือรู้สึกคล้ายมีสิ่งอุดตันอยู่ภายในจมูกจนหายใจไม่สะดวก และบางครั้งก็อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ ซึ่งอาการคัดจมูกนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุรวมทั้งวิธีบรรเทาอาการในเบื้องต้นอาจช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของอาการนี้ และอาจช่วยให้หาวิธีรับมือกับอาการดังกล่าวได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย
สาเหตุของอาการคัดจมูก
อาการคัดจมูกอาจเกิดจากสาเหตุใดก็ตามที่ทำให้เกิดความระคายเคืองหรืออักเสบที่เนื้อเยื่อในจมูก เช่น การติดเชื้อ สารก่อภูมิแพ้ หรือโรคต่าง ๆ มักพบว่าสาเหตุที่ทำให้มีอาการคัดจมูก ได้แก่
- การติดเชื้อโรคหวัดและโรคติดเชื้อบริเวณทางเดินหายใจอื่น ๆ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ และไซนัสอักเสบ
- โรคภูมิแพ้ ซึ่งอาจมีอาการคัดจมูก ร่วมกับน้ำมูกไหล จาม คันตา เป็นต้น
- ริดสีดวงจมูก เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุภายในจมูกและโพรงจมูก ทำให้มีก้อนเนื้อนิ่ม ๆ ยื่นออกมากีดขวางจนมีอาการหายใจไม่สะดวกได้
- เยื่อจมูกอักเสบเรื้อรัง
ส่วนสาเหตุที่พบได้น้อยลงมา เช่น
- ต่อมอะดีนอยด์บวม คือต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่งที่อยู่ด้านหลังโพรงจมูก เมื่อเกิดการอักเสบหรือบวมขึ้นจะทำให้มีอาการหายใจลำบากตามมาได้
- การได้รับบาดเจ็บที่จมูก
- มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในจมูก
- ภาวะที่มีการคั่งของน้ำมูกหลังจากหยุดใช้ยาลดน้ำมูก
- มีเนื้องอกที่โพรงจมูกหรือภายในจมูก
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด
นอกจากนี้ อาการคัดจมูกยังสามารถเกิดขึ้นได้ในระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงปลายไตรมาสแรกหรือเดือนที่ 3 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและเลือดที่มาเลี้ยงที่เพิ่มมากขึ้นจนทำให้เยื่อจมูกเกิดการอักเสบ แห้ง หรือมีเลือดออกได้
อาการคัดจมูกเกิดจากสาเหตุใดบ้าง
อาการคัดจมูกอาจเกิดจากสาเหตุใดก็ตามที่ทำให้เนื้อเยื่อในจมูกเกิดการอักเสบและระคายเคือง โดยปัจจัยหลัก ๆ ที่พบได้บ่อย มีดังนี้
- การติดเชื้อหวัดหรือการติดเชื้อบริเวณทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัดธรรมดา โรคไข้หวัดใหญ่ และภาวะไซนัสอักเสบ เป็นต้น
- โรคภูมิแพ้จมูก หรือไข้ละอองฟาง
- โรคจมูกอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจเป็นชนิดที่เกิดจากการแพ้หรือไม่ก็ได้
- ริดสีดวงจมูก ซึ่งเป็นการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเยื่อบุโพรงจมูกหรือโพรงไซนัส ทำให้มีก้อนเนื้อนิ่ม ๆ ยื่นออกมากีดขวาง จนทำให้หายใจไม่สะดวกได้
นอกจากนี้ อาการคัดจมูกยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น ต่อมอะดีนอยด์บวม การได้รับบาดเจ็บที่จมูก การสูดดมควันบูหรี่ มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในจมูก มีเนื้องอกที่โพรงจมูกหรือภายในจมูก ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ การตั้งครรภ์ ความเครียด โรคหืด รวมถึงการใช้ยาบางชนิด เป็นต้น
การวินิจฉัยอาการคัดจมูก
แพทย์มักวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการคัดจมูกด้วยการซักถามอาการและตรวจร่างกายเบื้องต้น ซึ่งโดยมากจะไม่จำเป็นต้องรับการตรวจใด ๆ เป็นพิเศษ แต่หากไม่พบสาเหตุของอาการคัดจมูกที่แน่ชัดหรืออาการยังไม่ดีขึ้นหลังให้การรักษา ก็อาจต้องส่งตรวจเพิ่มเติมกับแพทย์เฉพาะทางด้านหู คอ จมูก รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้เพื่อรับการตรวจภูมิแพ้หรือตรวจเลือด และเป็นไปได้ว่าแพทย์เฉพาะทางด้านหู คอ จมูกอาจใช้กล้องส่องตรวจดูบริเวณหลังจมูก หรือบางครั้งก็ต้องมีการตรวจด้วยการถ่ายภาพซีทีสแกน (CT Scan) หรือเอมอาร์ไอสแกน (MRI Scan) หากสุดท้ายยังไม่พบสาเหตุของอาการคัดจมูกที่เกิดขึ้น
วิธีรับมือเมื่อเกิดอาการคัดจมูก
ผู้ที่มีอาการคัดจมูกสามารถบรรเทาอาการในเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง โดยปฏิบัติตามคำแนะนำต่าง ๆ ดังนี้
- สูดหายใจเข้า หรือสั่งน้ำมูกออกมาเบา ๆ
- หลีกเลี่ยงสารต่าง ๆ ที่อาจกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้หรือก่อให้เกิดความระคายเคืองมากขึ้น เช่น ไรฝุ่น ควันบุหรี่ หรือสภาพอากาศและความชื้นที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เป็นต้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะอาจช่วยให้น้ำมูกไม่จับตัวเหนียวหรือปิดกั้นโพรงจมูก
- ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นหรือเครื่องทำไอระเหย เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นภายในห้อง
- ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นบิดให้หมาดวางไว้บนใบหน้า ซึ่งอาจช่วยเปิดโพรงจมูกที่แน่น และอาจทำให้หายใจสะดวกยิ่งขึ้น
- ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เพื่อล้างน้ำมูกออกมา ทำให้โพรงจมูกชุ่มชื้นและไม่แห้ง โดยต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาดของอุปกรณ์ที่ใช้ด้วย
- ยกศีรษะให้สูงขึ้นจากปกติในระหว่างที่นอนหลับตอนกลางคืน เพราะอาจช่วยให้หายใจสะดวกยิ่งขึ้น
- สำหรับอาการคัดจมูกในเด็กทารกและเด็กเล็ก ให้ใช้ลูกยางแบบบีบเพื่อดูดเอาน้ำมูกออกมาอย่างเบา ๆ
นอกจากนี้ หากมีอาการน้ำมูกไหลอย่างต่อเนื่อง และมีอาการจาม คัน หรือน้ำตาไหล อาจรับประทานยาแก้แพ้ที่หาซื้อได้เอง โดยปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัด
การรักษาอาการคัดจมูก
อาการคัดจมูก นอกจากจะก่อให้เกิดความรำคาญแล้ว ยังอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอาการเจ็บป่วยที่แฝงอยู่ และแม้โดยทั่วไปอาการที่เกิดขึ้นจะไม่ร้ายแรงอะไร แต่ในกรณีต่อไปนี้ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
- อาการคัดจมูกที่เป็นมานานมากกว่า 10 วัน
- มีไข้สูงร่วมด้วยนานกว่า 3 วัน
- มีน้ำมูกเป็นสีเหลืองหรือเขียว พร้อมกับมีอาการเจ็บโพรงจมูกหรือมีไข้ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อแบคทีเรียและจำเป็นต้องรับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
- มีเลือดออกปนมากับน้ำมูกหรือมีน้ำมูกใส ๆ ไหลอย่างต่อเนื่องหลังได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
- เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 เดือนที่มีอาการคัดจมูกร่วมกับมีไข้
- ทารกที่มีอาการคัดจมูกหรือมีน้ำมูกไหลจนเป็นอุปสรรคต่อการให้นมหรือทำให้หายใจได้ลำบาก
- ผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแออยู่แล้ว เช่น โรคหอบหืด หรือโรคถุงลมโป่งพอง เป็นต้น
- คัดจมูกหรือรู้สึกแน่นจมูกเพียงข้างเดียว
- มีอาการคัดจมูกจนไม่สามารถนอนได้ หรือมีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับ
การดูแลรักษาตนเอง
อาการคัดจมูกโดยทั่วไปอาจบรรเทาได้ด้วยการดูแลรักษาตนเองตามข้อปฏิบัติต่อไปนี้
- สูดจมูกและกลืนน้ำมูกลงไป หรือสั่งน้ำมูกออกมาเบา ๆ
- หลีกเลี่ยงสารก่อความระคายเคืองทั้งหลายที่อาจกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ยิ่งขึ้น เช่น ไรฝุ่น ควันบุหรี่ และอากาศที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยให้น้ำมูกไม่จับตัวเหนียวและปิดกั้นโพรงจมูก
- ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นบิดให้หมาดวางบนใบหน้า เป็นการช่วยเปิดโพรงจมูกที่แน่น เพื่อให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น
- หายใจโดยอังหน้ากับไอจากหม้อน้ำร้อนจะช่วยให้หายใจได้อย่างเป็นปกติ ทำประมาณ 5-10 นาที
- ยกศีรษะให้สูงขึ้นจากปกติระหว่างการนอนหลับในเวลากลางคืนจะทำให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น
- ใช้เครื่องให้ความชุ่มชื้นในบ้าน
- อาการคัดจมูกในเด็กทารกและเด็กเล็กให้ใช้ลูกยางแดงดูดเอาน้ำมูกออกเบา ๆ
- ใช้น้ำเกลือล้างจมูกเพื่อให้โพรงจมูกชุ่มชื้น ไม่แห้ง รวมถึงช่วยขจัดน้ำมูกให้เบาบางลง โดยสามารถหาซื้ออุปกรณ์สำหรับการล้างจมูกได้ตามร้านขายยาทั่วไป และยังมีสเปรย์ฉีดน้ำเกลือชนิดสำเร็จรูปให้เลือกใช้ ทั้งนี้กรณีที่เตรียมอุปกรณ์เอง น้ำเกลือที่ใช้ล้างควรสะอาดผ่านการต้ม และรักษาความสะอาดของอุปกรณ์ที่ใช้ด้วยการล้างและตากให้แห้งหลังใช้เสร็จ
การรักษาด้วยการใช้ยา
อาการคัดจมูกสามารถบรรเทาลงได้ด้วยการใช้ยาตามร้านขายยาทั่วไป อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรและอ่านฉลากให้ละเอียดทุกครั้งก่อนใช้ยารักษาอาการคัดจมูกต่อไปนี้
- ยาทาที่มีส่วนผสมของการบูร เมนทอล หรือยูคาลิปตัส ใช้ทาบริเวณหน้าอกช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก ทำให้หายใจได้คล่อง แต่ไม่ควรใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
- ยาแก้คัดจมูกชนิดเม็ดหรือน้ำเชื่อม ถือเป็นยาชนิดที่ปลอดภัยหากจำเป็นต้องใช้ติดต่อเป็นเวลานาน ที่นิยมใช้กัน ได้แก่ ยาซูโดอีเฟดรีน (Pseudoephedrine) และฟีนิลเอฟรีน (Phenylephrine)
- ยาพ่นจมูก เช่น ยาเอฟีดรีน (Ephedrine) และออกซีเมตาโซลีน (Oxymetazoline) สามารถช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกได้ดี แต่ไม่ควรใช้ติดต่อนานเกิน 5-7 วัน เพราะหากใช้นานกว่านี้อาจทำให้เกิดการคั่งของน้ำมูกหลังหยุดใช้ได้ และหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้กับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ส่วนเด็กอายุ 6-12 ปีอาจใช้ยานี้ได้เป็นเวลานานสุด 5 วัน หากไม่มีการรักษาวิธีอื่น ๆ ที่ได้ผล
- ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก เป็นยาใช้บรรเทาอาการคัดจมูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสาเหตุมาจากภูมิแพ้หรือริดสีดวงในจมูก ยานี้จะช่วยลดอาการบวมภายในจมูก ปลอดภัยต่อเด็กและผู้ใหญ่ และการใช้ยาควรได้รับการดูแลจากแพทย์หากใช้ติดต่อเป็นเวลานาน
- ยาแก้แพ้ ในกรณีที่สาเหตุเกิดจากโรคภูมิแพ้ เช่น มีอาการคัดจมูกร่วมกับมีน้ำมูกใส ๆ ไหลอย่างต่อเนื่อง จาม คันหรือน้ำตาไหล การใช้ยาแก้แพ้ เช่น ยาลอราทาดีน (Loratadine) หรือเซทิริซีน (Cetirizine) จะช่วยลดอาการอื่น ๆ ของโรคที่เกิดขึ้นได้ในคราวเดียว นอกจากนี้ยารักษาโรคหวัดบางชนิดก็อาจพบว่ามีส่วนผสมของยาแก้แพ้เช่นกัน ทั้งนี้ยาแก้แพ้ควรรับประทานตอนกลางคืนก่อนนอนเพราะอาจมีผลข้างเคียงทำให้รู้สึกง่วงนอนได้
- ยาบรรเทาอาการปวด แม้ว่าจะไม่ช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก แต่ยาแก้ปวดอย่างพาราเซตามอล ไอบูโพรเฟน หรือนาพรอกเซนสามารถใช้รับประทานเพื่อช่วยลดอาการเจ็บปวดที่เกิดจากโพรงจมูกอักเสบได้
อาการแบบใดที่ควรไปพบแพทย์
แม้อาจบรรเทาอาการคัดจมูกด้วยตนเองในเบื้องต้นได้ แต่ผู้ป่วยก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีหากคัดจมูกติดต่อกันเป็นระยะเวลานานกว่า 10 วันโดยไม่ทราบสาเหตุ รวมทั้งหากมีไข้สูง รู้สึกแน่นจมูกเพียงข้างเดียว มีเลือดปนออกมากับน้ำมูก มีน้ำมูกใสหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือมีอาการบางอย่างที่อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น มีน้ำมูกสีเหลืองหรือสีเขียวข้นเป็นปริมาณมาก มีไข้ หรือมีอาการปวดบริเวณไซนัส เป็นต้น
ส่วนอาการคัดจมูกในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 เดือน หากพ่อแม่พบว่าลูกน้อยมีอาการคัดจมูก มีไข้ หรือมีน้ำมูกไหลจนอาจส่งผลกระทบต่อการดูดนม หรืออาการเหล่านั้นทำให้เด็กหายใจลำบาก ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ทันที
ผักและผลไม้สดที่วางจำหน่ายตามท้องตลาดส่วนใหญ่จะมีสารพิษจากยาป้องกันและ กำจัดศัตรูพืชตกค้างอยู่ รวมไปถึงเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และสารโลหะหนักอื่น ๆ ที่ปะปนมากับผักผลและไม้ ซึ่งสารเหล่านี้
การล้างผักผลไม้ ให้สะอาด ปลอดภัยทุกครั้งที่รับประทาน
ผักและผลไม้สดที่วางจำหน่ายตามท้องตลาดส่วนใหญ่จะมีสารพิษจากยาป้องกันและ กำจัดศัตรูพืชตกค้างอยู่ รวมไปถึงเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และสารโลหะหนักอื่นๆ ที่ปะปนมากับผักผลและไม้ ซึ่งสารเหล่านี้จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในหลายๆ ด้าน สารพิษเหล่านี้จะเกาะกับผิวบางส่วนและแทรกซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อของผักผลไม้ ทำให้ผู้บริโภคอย่างเราไม่สามารถมองเห็นสารพิษที่ติดมากับผักและผลไม้
ในยุคปัจจุบันผู้คนหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ทำให้ความนิยมในการรับประทานผักผลไม้มีเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ก็ยังคงพบว่ามีสารเคมีตกค้างที่ปนเปื้อนมากับผักผลไม้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งหากได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็จะทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคจากการได้รับสารพิษที่ปะปนมากับผักผลไม้ได้ ซึ่งก็มีทั้งโรคชนิดเฉียบพลันหรือที่เรียกว่ามีอาการอาหารเป็นพิษ โรคที่มาพร้อมกับผักและผลไม้ที่ปนเปื้อนสารพิษจะมีทั้งโรคชนิดที่เกิดแบบเฉียบพลันและโรคเรื้อรัง อาการเฉียบพลัน เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หน้ามืด หายใจไม่ออก ปวดท้อง ท้องเสีย เป็นไข้ ตัวชา หรือแม้แต่หมดสติไป หรือที่เรียกว่า "อาหารเป็นพิษ" ส่วนโรคเรื้อรังของการได้รับสารพิษที่มาจากผักและผลไม้ ส่วนมากจะมาจากการได้รับสารจากยาฆ่าแมลง เช่น ทำให้เกิดโรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคกระเพาะอาหาร การเจริญเติบโตที่ผิดปกติในเด็กและทำให้เกิดความเครียด เป็นต้น
ดังนั้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจการในการรับประทานผักผลไม้อย่างปลอดภัย ก่อนนำไปรับประทานหรือปรุงอาหารต้องนำมาล้างให้สะอาดเสียก่อน ซึ่งในปัจจุบันก็มีวิธีการล้างผักอยู่หลายวิธีเพื่อช่วยลดปริมาณของสารพิษตกค้างที่มากกับผักผลไม้ให้มีปริมาณลดน้อยลง แต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะใช้วิธีใดก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมเป็นหลัก
วิธีล้างผักผลไม้
1. การแช่น้ำ - เริ่มด้วยการล้างผักรอบแรกให้สะอาดเสียก่อน หลังจากนั้นเด็กผักออกเป็นใบๆ แล้วนำมาแช่ในอ่างน้ำที่เตรียมไว้ประมาณ 15 นาที วิธีนี้จะช่วยลดสารพิษจากฆ่ายาแมลงได้ประมาณ 7-33%
2. ล้างผักโดยให้น้ำไหลผ่าน - โดยเด็ดผักออกเป็นใบๆ นำมาใส่ในตะกร้าหรือตะแกรงโปร่ง แล้วเปิดน้ำให้แรงพอประมาณ ระหว่างล้างให้ใช้มือช่วยคลี่ใบผักและถูไปมาบนผิวใบของผักผลไม้ไปด้วยประมาณ 2 นาที วิธีนี้จะช่วยลดสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้ประมาณ 25-63% (วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมและได้ผลดีมากวิธีหนึ่ง แต่จะมีข้อเสียในเรื่องของการใช้เวลานานในการล้างและต้องใช้น้ำสะอาดปริมาณมาก แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ให้นำน้ำส่วนที่เหลือไปรดน้ำต้นไม้ก็ดี)
- ข้อดี วิธีนี้จะช่วยขจัดสารพิษออกจากสารพิษได้ถึงร้อยละ 25-63 และเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยพอสมควร
- ข้อเสีย เป็นวิธีที่ใช้เวลาในการล้างค่อนข้างนานและใช้น้ำในการล้างค่อนข้างมาก จึงอาจไม่ค่อยทันใจสำหรับคนที่ใจร้อนมากนัก
3. ปอกเปลือก - วิธีนี้ให้นำผักหรือผลไม้มาปอกเปลือกหรือการลอกใบผักชั้นนอกออก เช่น กะหล่ำปลี ฯลฯ โดยให้ลอกเปลือกหรือกาบด้านนอกออกทิ้งสัก 2-3 ใบ เพราะสารพิษส่วนใหญ่จะสะสมตกค้างบริเวณเปลือกด้านนอกหรือบริเวณกาบ แล้วจึงนำไปแช่ในน้ำสะอาดอีกประมาณ 5-10 นาที หลังจากนั้นก็ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณของสารพิษตกค้างได้ประมาณ 27-72%
4. ลวกผักหรือต้มผัก - ก่อนนำมาลวกให้นำผักมาล้างให้สะอาดเสียก่อน แล้วจึงนำมาลวกหรือต้ม โดยการลวกผักด้วยน้ำร้อนจะช่วยลดสารพิษได้ 50% ส่วนการต้มผักนั้นก็ช่วยลดสารพิษได้ประมาณ 50% เช่นกัน แต่การต้มผักจะมีสารพิษที่ตกค้างอยู่ในน้ำแกงได้ ดังนั้นจึงควรทิ้งน้ำที่ต้มครั้งแรกเสียก่อน แล้วจึงค่อยนำไปประกอบอาหารหรือรับประทาน (วิธีนี้เป็นอีกวิธีที่ดีและปลอดภัย แต่จะทำให้ผักและผลไม้เสียคุณค่าทางอาหารไปกับน้ำและความร้อน เช่น วิตามินบี1 วิตามินบี3 วิตามินซี เป็นต้น)
- ข้อดี นอกจากวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยแล้วยังช่วยลดสารพิษได้ร้อยละ 50
- ข้อเสีย วิธีนี้อาจทำให้ผักหรือผลไม้ต้องสูญเสียคุณค่าทางสารอาหาร เช่น วิตามินซี วิตามินบี 1 ไนอะซินไป
5. น้ำเกลือ - ให้ใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกับน้ำ 4 ลิตร แล้วนำผักผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง จะช่วยลดปริมาณของสารพิษตกค้างได้ประมาณ 27-38% (วิธีนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก เพราะลดปริมาณของสารพิษได้ไม่มาก และอาจทำให้ผักและผลไม้มีรสเค็มได้) แต่บางข้อมูลกลับระบุว่าการใช้น้ำเกลือล้างผักผลไม้ไม่ได้ช่วยทำให้ผักสะอาดขึ้นได้แต่อย่างใด เนื่องจากเกลือเป็นโซเดียมคลอไรด์ที่มีส่วนทำให้สารตกค้างหรือยาฆ่าแมลงนั้นคงทนยิ่งขึ้นทำให้ยังมีสารตกค้างอยู่ผักและผลไม้ แต่ข้อมูลส่วนนี้เองผู้เขียนเองก็หาแหล่งอ้างอิงไม่เจอ จริงเท็จประการใดก็ไม่ทราบ ทางที่ดีก็ให้ลองเลือกใช้วิธีอื่นแทนจะดีกว่า
- ข้อดี วิธีนี้จะช่วยให้สารพิษลดลงได้ร้อยละ 27-38
- ข้อเสีย อาจทำให้ผักหรือผลไม้มีรสเค็มเนื่องจากมีรสชาติของเกลือติดมาด้วย ใครที่ไม่ค่อยชอบกินเค็มก็อาจต้องเลี่ยงวิธีนี้สักหน่อย
6. น้ำซาวข้าว - ให้นำผักหรือผลไม้มาแช่ด้วยซาวข้าวประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณของสารพิษตกค้างได้ 29-38%
7. น้ำปูนใส (ทำมาจากปูนแดงหรือปูนขาวที่กินกับหมาก) - ให้เตรียมน้ำปูนใสอิ่มตัวที่ผสมกับน้ำเท่าตัว แล้วนำมาผักมาแช่ในน้ำปูนใสประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยสะอาดอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณของสารพิษตกค้างได้ประมาณ 34-52%
8. ผงปูนคลอรีน (Calcium Hypochlorite - แคลเซียมไฮโปคลอไรต์) - ให้ใช้ผงปูนคลอรีน 60% จำนวน 1/2 ช้อนชา (ความเข้มข้นของคลอรีน 50 พีพี เอ็ม) นำมาผสมกับน้ำ 20 ลิตร แล้วนำมาผักผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที วิธีนี้จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ดีมาก
9. ด่างทับทิม (Potassium permanganate - โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต) - ให้ใช้ด่างทับทิมประมาณ 20-30 เกล็ด (ด่างทับทิมจะมีลักษณะเป็นผลึกหรือเกล็ดสีม่วงสามารถละลายน้ำได้) ที่ผสมกับน้ำ 4 ลิตร แล้วจึงนำผักมาแช่ไว้ในน้ำด่างทับทิมประมาณ10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยสะอาดอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยลดประมาณของสารพิษตกค้างได้ประมาณ 35-43% (การใช้ด่างทับทิมในปริมาณที่มากจนเกินไป อาจเป็นอันตายต่อระบบทางเดินอาหาร ถ้าหากสูดดมไอระเหยของด่างทับทิมเข้าไปมากๆ ก็อาจทำให้ระบบทางเดินหายใจมีปัญหาได้ และถ้าด่างทับทิมเข้าตาก็อาจทำให้ตาบอดได้
ดังนั้นการใช้วิธีนี้จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง อีกอย่างการใช้ด่างทับทิมต้องใช้ในปริมาณน้อย ไม่งั้นผักและผลไม้จะเหี่ยวหรือเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลได้ ทำให้เปื้อนมือ เปื้อนอ่างด้วย)
- ข้อดี วิธีนี้จะช่วยขจัดสารพิษปนเปื้อนออกได้มากถึงร้อยละ 35-43 ซึ่งก็เป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมมาก
- ข้อเสีย หากใช้ด่างทับทิมในปริมาณมาก อาจเกิดอันตรายต่อระบบทางเดินอาหารได้และอาจมีปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจได้หากมีการสูดดมไอระเหยของด่างทับทิมมากจนเกินไป และหากสัมผัสกับดวงตาอาจทำให้ตาบอดได้เช่นกัน
10. น้ำส้มสายชู (Vinegar) - วิธีนี้ให้เตรียมน้ำสายชูที่มีกรดน้ำส้มความเข้มข้น 5% ของกรดน้ำส้ม นำมาผสมกับน้ำในอัตราส่วน 1:10 ส่วน แล้วจึงนำผักมาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกรอบหนึ่ง จะช่วยลดสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้ประมาณ 60-84% (การใช้วิธีนี้ล้างผัก ภาชนะที่ใส่ผักล้างไม่ควรเป็นพลาสติก และการล้างผักด้วยวิธีนี้อาจทำให้ผักบางชนิดมีกลิ่นของน้ำส้มสายชูติดมาได้ เพราะผักบางอย่าง เช่น ผักกาดขาว ผักกาดเขียว อาจมีการดูดรสเปรี้ยวจากน้ำส้มสายชู และทำให้ผักมีรสชาติเปลี่ยนไป)
- ข้อดี วิธีนี้จะช่วยให้สารพิษลดลงได้ถึงร้อยละ 60-84 ซึ่งก็จะทำให้การทานผักผลไม้มีความปลอดภัยมากขึ้นและเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมพอสมควร
- ข้อเสีย ผักอาจมีกลิ่นและรสของน้ำส้มสายชูติดมา จึงทำให้ผักบางชนิดอย่างผักกาดขาว ผักกาดเขียวอาจมีรสชาติเปลี่ยนไปได้ นอกจากนี้แล้วไม่ควรใช้ภาชนะพลาสติกในการล้างผัก เพราะอาจเกิดการทำปฏิกิริยากันกับน้ำส้มสายชูนั่นเอง
11. เบกกิ้งโซดา หรือ โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate) - บ้างเรียกว่า "โซดาทำขนมปัง" แต่มีชื่อคุ้นหูว่า "เบกกิ้งโซดา" (Baking Soda) สามารถนำมาใช้ล้างสารพิษจากผักและผลไม้ได้เช่นกัน และเป็นวิธีที่นิยมกันมากด้วย ด้วยการใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต 1/2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำ 10 ลิตร แล้วนำผักหรือผลไม้มาแช่ไว้ประมาณ 15นาที หลังจากนั้นค่อยล้างออกด้วยน้ำเปล่า 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยลดสารพิษได้มากถึง 90-95% เลยทีเดียว (ข้อเสียของการใช้เบกกิ้งโซดาในการล้างผักผลไม้ คือ เบกกิ้งโซดาจะมีส่วนผสมของโซเดียมอยู่ และอาจจะดูดซึมเข้าสู่ผักและผลไม้ที่นำไปแช่ได้ เพราะถ้าหากล้างไม่สะอาด การได้รับเบกกิ้งโซดาในปริมาณมากเกินไปก็อาจทำให้ท้องเสียได้) เพิ่มเติม: เบกกิ้งโซดาไม่ใช่ผงฟู เพราะผงฟูคือ เบกกิ้งโซดา + แป้ง
- ข้อดี การล้างผักด้วยวิธีนี้จะช่วยให้สารพิษลดลงได้ถึงร้อยละ 90-95
- ข้อเสีย ผักหรือผลไม้ที่ล้างอาจดูดซึมโซเดียมที่ผสมอยู่ในเบกกิ้งโซดาเข้าไป และถ้าล้างได้ไม่สะอาดพออาจทำให้เกิดอาการท้องเสียจากการได้รับเบกกิ้งโซดาเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปได้
12. ผงฟู (Baking Powder) (เบกกิ้งโซดา + แป้ง) - ให้ใช้ผงฟู 1/2 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกับน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดา 10 ลิตร แล้วนำผักหรือผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วค่อยล้างออกด้วยสะอาดอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้สามารถช่วยลดปริมาณของสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้มากกว่า 90% และเป็นวิธีที่ปลอดภัยไม่เป็นอันตราย (เพราะผงฟูกินได้)
13. น้ำยาล้างผัก - การแช่ผักในน้ำยาล้างผักที่มีวางจำหน่ายกันอยู่ทั่วไป ให้เลือกใช้ที่มีความเข้มข้นประมาณ 0.3% ในน้ำ 4 ลิตร และนำผักหรือผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณของสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้ประมาณ 25-70% (การเลือกใช้น้ำยาล้างผักจะต้องดูให้ดีกว่าน้ำยาล้างผักมีส่วนประกอบอะไรบ้าง และต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะในบางครั้งน้ำยาล้างผักจะแทรกซึมเข้าไปในผักและอาจเป็นอันตรายกับเราได้)
14. น้ำยาล้างจานหรือน้ำยาล้างขวดนม - การล้างผลไม้โดยใช้น้ำยาล้างจานหรือน้ำยาล้างขวดนมกับฟองน้ำถูเบาๆ จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อที่อยู่บริเวณผิวของผลไม้ได้และการล้างไข่ก่อนทำอาหารก็สามารถใช้วิธีนี้ได้เช่นกัน โดยวิธีนี้จะช่วยลดการปนเปื้อนของเชื้อได้มากกว่า 95%
15. ผงถ่าน - ผงถ่านแอคติเวทชาร์โคลหรือผงคาร์บอนกัมมันต์ (activated carbon) หรือถ่านกัมมันต์ (activate chacoal) เป็นวัสดุคาร์บอนซึ่งมีเนื้อพรุน มีคุณสมบัติในการดูดซับสูงมาก ทำให้มันสามารถจับสารในปริมาณมากมายไว้ที่ผิว ด้วยคุณสมบัตินี้เองเราจึงนำมาใช้ประโยชน์ในการล้างผักผลไม้ได้ ซึ่งมันจะช่วยดูดกลิ่น ดูดสี ดูดซับสารพิษออกจากผัก แต่จะจะไม่ดูดซับแร่ธาตุออกไป อีกทั้งร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมผงถ่านได้จึงไม่เป็นอันตรายเพราะร่างกายสามารถขับออกได้ แต่การนำมาใช้ล้างผักผลไม้ หากใช้ในปริมาณน้อยและแช่ไว้ไม่นานพอ ก็จะไม่สามารถดูดซับสารพิษออกมาได้หมด ซึ่งวิธี
การใช้ก็ให้ใช้ผงถ่าน 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 5 ลิตร แล้วนำผักผลไม้มาแช่ไว้ประมาณ 20 นาที แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด
16. สำหรับถั่วแห้งทุกชนิด - ควรล้างด้วยน้ำให้สะอาดก่อนนำมาปรุงอาหารเป็นอาหาร
คำแนะนำในการล้างผัก
จะเห็นได้ว่าในแต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป จะเลือกวิธีไหนก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ความสะดวกของแต่ละคน รวมไปถึงชนิดและปริมาณของผักไม้ และเวลาที่มีอยู่ของแต่ละคน และที่สำคัญอย่างมากก็คือให้พยายามรับประทานผักและผลไม้ให้หลากหลายชนิด ไม่ควรรับประทานแบบซ้ำๆ เดิมๆ เลือกรับประทานผักหรือผลไม้ตามฤดูกาล เปลี่ยนร้านที่ซื้อผักหรือผลไม้บ้าง หรือเลือกซื้อกับร้านที่ไว้ใจได้ ถ้าจะให้ดีก็ให้เลือกรับประทานผักปลอดสารพิษ ผักออแกนิก (ผักเกษตรอินทรีย์) ที่ผ่านการรับรอง ผักผลไม้ที่มีร่องรอยที่ถูกหนอนเจาะบ้าง เนื่องจากถ้าผักหรือผลไม้มีสารตกค้างหรือมีสารพิษก็จะได้ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของเรามากนัก
วิธีต่างๆ ที่ช่วยในการลดปริมาณสารตกค้างที่ได้นำเสนอไปแล้วนี้ ต่างก็เป็นวิธีที่ช่วยลดสารพิษให้น้อยลงได้ทั้งสิ้น ซึ่งจะเลือกใช้วิธีไหนนั้นก็แล้วแต่ปัจจัยจะเอื้ออำนวย ไม่ว่าจะเป็นความสะดวก ชนิดของผักผลไม้และปริมาณที่ต้องการจะล้าง เวลาที่มีอยู่ ส่วนการทานผักผลไม้นั้นควรที่จะทานให้ได้หลากหลายชนิด และไม่ควรที่จะซื้อจากร้านใดร้านหนึ่งเพียงร้านเดียว แต่ควรที่จะเปลี่ยนร้านบ้าง เพราะว่าหากร้านที่เราซื้ออยู่ประจำนั้น ผักหรือผลไม้มีสารพิษตกค้างก็จะทำให้เราไม่ได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปจนเกิดอันตราย
_____________________________
ขอขอบคุณ
https://www.honestdocs.co/
https://www.medthai.com/
"ฟ้าทะลายโจร" สมุนไพรที่อยู่คู่คนไทยมาเนิ่นนาน ด้วยสรรพคุณทางยาที่สามารถรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ปัจจุบันฟ้าทะลายโจร กลายเป็นหนึ่งในสมุนไพรยอดนิยมที่ผู้คนใช้บรรเทาอาการโรคต่างๆ มากมาย...
ฟ้าทะลายโจร
"ฟ้าทะลายโจร" สมุนไพรที่อยู่คู่คนไทยมาเนิ่นนาน ด้วยสรรพคุณทางยาที่สามารถรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ปัจจุบันฟ้าทะลายโจร กลายเป็นหนึ่งในสมุนไพรยอดนิยมที่ผู้คนใช้บรรเทาอาการโรคต่างๆ มากมาย โดยถูกนำมาแปรรูปเป็นยาแคปซูลเพื่อให้รับประทานง่ายขึ้น
ชื่อวิทยาศาสตร์: Andrographis paniculata (Burm.f.) Wall.ex Nees
ชื่อสามัญ: Kariyat , The Creat
วงศ์: ACANTHACEAE
ชื่ออื่น: หญ้ากันงู (สงขลา) น้ำลายพังพอน ฟ้าละลายโจร (กรุงเทพฯ) ฟ้าสาง (พนัสนิคม) เขยตายยายคลุม สามสิบดี (ร้อยเอ็ด) เมฆทะลาย (ยะลา) ฟ้าสะท้าน (พัทลุง)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์: ไม้ล้มลุก สูง 30-70 ซม. ทุกส่วนมีรสขม กิ่งเป็นใบสี่เหลี่ยม ใบ เดี่ยว แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ดอก ช่อ ออกที่ปลายกิ่งและซอกใบ ดอกย่อย กลีบดอกสีขาว โคนกลีบติดกัน ปลายแยก 2 ปาก ปากบนมี 3 กลีบ มีเส้นสีม่วงแดงพาดอยู่ ปากล่างมี 2 กลีบ ผล เป็นฝัก เมื่อแก่เป็นสีน้ำตาล แตกได้ ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก
ส่วนที่ใช้: ทั้งต้น ใบสด ใบแห้ง ใบจะเก็บมาใช้เมื่อต้นมีอายุได้ 3-5 เดือน
ทำความรู้จักกับฟ้าละลายโจร
ฟ้าทะลายโจรเป็นพืชล้มลุก สูงประมาณ 30-60 เซนติเมตร ลำต้นตั้งตรง ใบเดี่ยว สีเขียวเข้ม เป็นมัน มีดอกสีขาวเป็นช่อใหญ่ที่ปลายกิ่ง และซอกใบ ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอก เมล็ดมีขนาดเล็ก
ฟ้าทลายโจรถูกนำมาใช้เป็นยาบรรเทาอาการ และรักษาโรคตั้งแต่โบราณ โดยส่วนที่ใช้เป็นยาได้ คือส่วนที่เหนือดินทั้งหมด
ในปัจจุบัน ฟ้าทลายโจรถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ ใช้สำหรับบรรเทาอาการท้องเสียที่ไม่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น อุจจาระเป็นมูก หรือมีเลือดปน บรรเทาอาการโรคหวัด เช่น เจ็บคอ หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
สามารถหาซื้อได้ในรูปแบบยาแคปซูล หรือลักษณะผลิตภัณฑ์จากชุมชน (OTOP) ตามร้านขายยา หรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป ซึ่งผู้คนนิยมนำมาใช้แทนยาสามัญประจำบ้านนั่นเอง
สรรพคุณ มี 4 ประการคือ
- แก้ไข้ทั่ว ๆ ไป เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่
- ระงับอาการอักเสบ พวกไอ เจ็บคอ คออักเสบ ต่อมทอนซิล หลอดลมอักเสบ ขับเสมหะ รักษาโรคผิวหนังฝี
- แก้ติดเชื้อ พวกทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย บิด และแก้กระเพาะลำไส้อักเสบ
- เป็นยาขมเจริญอาหาร
และการที่ฟ้าทะลายโจรมีสรรพคุณ 4 ประการนี้ จึงชวนให้เห็นว่าตัวยาต้นนี้ เป็นยาที่สามารถนำไปใช้กว้างขวางมาก จากเหตุผลที่ฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ระงับการติดเชื้อหรือระงับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
ใบฟ้าทะลายโจร มีสารเคมีประกอบอยู่หลายประเภท แต่ที่เป็นสาระสำคัญในการออกฤทธิ์ คือ สารกลุ่ม Lactone คือ
- สารแอดโดรกราโฟไลด์ (andrographolide)
- สารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ (neo-andrographolide)
- 14-ดีอ๊อกซี่แอนโดรกราโฟไลด์ (14-deoxy-andrographolide)
ฟ้าทะลายโจรเป็นยาเก่าแก่ของประเทศจีน ที่ใช้ในการแก้ฝี แก้อักเสบ และรักษาโรคบิด การวิจัยด้านเภสัชวิทยาพบว่า ฟ้าทะลายโจรสามารถยับยั้ง เชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของการเป็นหนองได้ และมีการศึกษาวิจัยของโรงพยาบาลบำราศนราดูร ถึงฤทธิ์ในการรักษาโรคอุจจาระร่วงและบิด แบคทีเรีย เปรียบเทียบกับ เตตราซัยคลิน ในผู้ป่วย 200 ราย อายุระหว่าง 16-55 ปี ได้มีการเปรียบเทียบระยะเวลาที่ถ่ายอุจจาระเหลว จำนวนอุจจาระเหลว น้ำเกลือที่ให้ทดแทนระหว่างฟ้าทะลายโจรกับเตตราซันคลิน พบว่าสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ลดจำนวนอุจจาระร่วงและจำนวนน้ำเกลือที่ให้ทดแทนอย่างน่าพอใจ แม้ว่าจากการทดสอบทางสถิติ จะไม่มีความแตกต่างโดยในสำคัญก็ตาม ส่วนการลดเชื้ออหิวาตกโรคในอุจจาระ ฟ้าทะลายโจรไม่ได้ผลดีเท่าเตตราซัยคลิน นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลชุมชนบางแห่งได้ใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาอาการเจ็บคอได้ผลดีอีกด้วย มีฤทธิ์เช่นเดียวกับเพ็นนิซิลินเมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน เท่ากับเป็นการช่วยให้มีผู้สนใจทดลองใช้ยานี้รักษาโรคต่างๆ มากขึ้น
วิธีและปริมาณที่ใช้
- ถ้าใช้แก้ไข้เป็นหวัด ปวดหัวตัวร้อน ใช้ใบและกิ่ง 1 กำมือ (แห้งหนัก 3 กรัม สดหนัก 25 กรัม) ต้มน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือเวลามีอาการ
- ถ้าใช้แก้ท้องเสีย ท้องเดิน เป็นบิดมีไข้ ใช้ทั้งต้นหรือส่วนทั้ง 5 ของฟ้าทะลายโจร ผึ่งลมให้แห้ง หั่นชิ้นเล็ก ๆ ประมาณ 1 กำมือ (หนักประมาณ 3-9 กรัม) ต้มเอาน้ำดื่มตลอดวัน
ตำรับยาและวิธีใช้
1. ยาชง มีวิธีทำดังนี้
1.1 เอาใบสดหรือแห้งก็ได้ ประมาณ 5-7 ใบ แต่ใบสดจะดีกว่า
1.2 เติมน้ำเดือดลงจนเกือบเต็มแก้ว
1.3 ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง หรือพอยาอุ่น แล้วรินเอามาดื่ม ขนาดรับประทานครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนอาหาร, ก่อนนอน
2. ยาเม็ด (ลูกกลอน) มีวิธีทำดังนี้
2.1 เด็ดใบสดมาล้างให้สะอาดผึ่งในที่ร่ม ห้ามตากแดด ควรผึ่งในที่มีลมโกรก ใบจะได้แห้งเร็ว
2.2 บดเป็นผงให้ละเอียด
2.3 ปั้นกับน้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อม เป็นเม็ดขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลือง (หนัก 250 มิลลิกรัม) แล้วผึ่งลมให้แห้ง เพราะถ้าปั้นรับประทานขณะที่ยังเปียกอยู่จะขมมาก ขนาดรับประทานครั้งละ 4-10 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนอาหาร, ก่อนนอน
3. แค๊ปซูล มีวิธีทำคือ แทนที่ผงยาที่ได้จะปั้นเป็นยาเม็ด กลับเอามาใส่ในแค๊ปซูล เพื่อช่วยกลบรสขมของยา แค๊ปซูล ที่ใช้ ขนาดเบอร์ 2 (ผงยา 250 มิลลิกรัม) ขนาดรับประทานครั้งละ 3-5 แค๊ปซูล วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนอาหาร ก่อนนอน
4. ยาทิงเจอร์หรือยาดองเหล้า เอาผงแห้งใส่ขวด แช่สุราที่แรง ๆ เช่น สุราโรง 40 ดีกรี ถ้ามี alcohol ที่รับประทานได้ (Ethyl alcohol) จะดีกว่าเหล้า แช่พอให้ท่วมยาขึ้นมาเล็กน้อย ปิดฝาให้แน่น เขย่าขวดวันละ 1 ครั้ง พอครบ 7 วัน จึงกรองเอาแต่น้ำ เก็บไว้ในขวดให้สะอาดปิดสนิท รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ (รสขมมาก) วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนอาหาร
5. ยาผงใช้สูดดม คือเอายาผงที่บดละเอียด มาใส่ขวดหรือกล่องยา ปิดฝาเขย่าแล้วเปิดฝาออก ผงยาจะเป็นควันลอยออกมา สูดดมควันนั้นเข้าไป ผงยาจะติดที่คอทำให้ยาไปออกฤทธิ์ที่คอโดยตรง ช่วยลดเสมหะ และแก้เจ็บคอได้ดี วิธีที่ดีกว่านี้คือวิธีเป่าคอ กวาดคอ หรือรับประทานยาชง ตรงที่คอจะรู้สึกขมน้อยมาก ไม่ทำให้ขยาดเวลาใช้ ใช้สะดวกและง่ายมาก ประโยชน์ที่น่าจะได้รับเพิ่มก็คือ ผงยาที่เข้าไปทางจมูก อาจจะช่วยลดน้ำมูก และช่วยฆ่าเชื้อที่จมูกด้วย
ขนาดที่ใช้ สูดดมบ่อย ๆ วันละหลาย ๆ ครั้ง ถ้ารู้สึกคลื่นไส้ให้หยุดยาไปสักพัก จนความรู้สึกนั้นหายไป จึงค่อยสูดใหม่
ประโยชน์ของฟ้าทะลายโจร
ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยามากมาย ช่วยบรรเทาอาการป่วยต่างๆ ได้ ดังนี้
- รักษาโรคหวัด และโรคไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากสารพฤกษศาสตร์ที่พบในฟ้าทลายโจร เช่น สารไดเทอร์ปีนแลคโตน สารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์บรรเทาอาการหวัด และกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้
- รักษาอาการอักเสบในร่างกาย เพราะฟ้าทะลายโจรมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการหลั่งสารที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบในร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ และการแข็งตัวของเลือด ใช้รักษาอาการอักเสบในร่างกาย เช่น โรคลำไส้อักเสบ โรคข้อรูมาตอยด์ แผลจากโรคเบาหวาน
- รักษาอาการที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น ลดอาการเจ็บคอจากต่อมทอนซิลอักเสบที่
- แก้อาการท้องเสีย ท้องเดิน และอาหารเป็นพิษ ฟ้าทะลายโจรช่วยขับสารพิษในลำไส้ ลดการระคายเคืองต่อผนังของลำไส้ ช่วยลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้เป็นปกติ
- รักษาไข้ไทฟอยด์หรือไข้ลากสาดน้อย การรับประทานสมุนไพรฟ้าทะลายโจรแบบแคปซูล 2 เม็ด 3 เวลาก่อนอาหาร ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ จะช่วยทำลายเชื้อไทฟอยด์ที่ฝังตัวอยู่ในเนื้อเยื่อของต่อมน้ำเหลือง หรือผนังลำไส้เล็กได้
- รักษาโรคงูสวัด การรับประทานฟ้าทะลายโจรแคปซูลประมาณ 2 - 3 เม็ดก่อนอาหาร รับประทานวันละ 3 เวลา ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ จะช่วยบรรเทาอาการงูสวัดได้
- ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร รับประทานสมุนไพรฟ้าทะลายโจรครั้งละ 2-3 เม็ดก่อนอาหาร 3 เวลา และก่อนเข้านอน ช่วยให้อาการเลือดออก หรือปวดหน่วงค่อยๆ หายไป และยังทำให้การขับถ่ายดีขึ้นด้วย
การใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อสุขภาพ
วิธีใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อบรรเทา หรือรักษาอาการต่างๆ มีทั้งการต้มน้ำดื่ม รับประทานแคปซูล รวมไปถึงการตำ และพอก ดังนี้
- รักษาอาการร้อนใน นำใบแก่ของฟ้าทะลายโจร ประมาณ 15 กรัม และใบเตยสด 15 กรัม ต้มกับน้ำสะอาด ทิ้งไว้แค่พอเดือด แล้วกรองแต่น้ำ ดื่มก่อนอาหารทั้ง 3 มื้อ (ถ้าต้องการให้หายขาด ควรดื่มแทนน้ำเปล่าต่อเนื่องกัน)
- รักษาโรคท้องเสีย ท้องร่วง โรคบิด นำกิ่งสด และใบสดของฟ้าทะลายโจรมาสับเป็นท่อนสั้นๆ ประมาณ 1 เซนติเมตร 3 กำมือ ต้มกับน้ำสะอาดเป็นเวลา 15 นาที แล้วดื่มก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง
- รักษาอาการผมร่วง นำใบฟ้าทะลายโจรสด 6-7 ใบไปแช่แล้วขยำในน้ำอุ่น ชโลมให้ทั่วศีรษะเป็นเวลา 5-10 นาที แล้วล้างออก
- รักษาแผลสด และฝี นำใบแก่ของฟ้าทะลายโจรประมาณ 1 กำมือ ตำให้ละเอียด ใส่เกลือเล็กน้อย เหล้าขาว 1/2 ถ้วยยา และน้ำ 1/2 ช้อนชา คนให้เข้ากันแล้วกรองแยกกากออกมาพอกบนแผล และฝี ใช้ผ้าสะอาดพันทิ้งไว้ 1 คืน ให้เปลี่ยนกากไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น
- รักษาโรคหวัด คัดจมูก นำใบฟ้าทะลายโจร 2-3 กำมือมาล้างให้สะอาด ผึ่งในที่ร่ม มีลมโกรก จนกว่าใบจะแห้ง (ห้ามตากแดด เพราะตัวยาจะสูญเสียไปกับความร้อน) เมื่อใบแห้ง นำมาบดละเอียดใส่กระปุกไว้ เมื่อมีอาการให้เขย่ากระปุกแรงๆ เปิดฝาเพื่อสูดดมควันจากผงฟ้าทะลายโจรจะช่วยให้อาการดีขึ้น
- ใช้แทนแอลกอฮอล์ล้างแผล นำผงฟ้าทะลายโจรแช่กับเหล้าขาว 40 ดีกรี โดยให้เหล้าท่วมผงเล็กน้อย ปิดฝาขวดให้แน่น ทิ้งไว้ 7 วัน ระหว่างนั้นให้เขย่าวันละ 1 ครั้งจนกว่าจะครบ 7 วัน สามารถนำมาทาแผลฆ่าเชื้อได้
ข้อควรระวังในการใช้ฟ้าทะลายโจร
- ไม่ควรใช้ฟ้าทะลายโจรติดต่อกันเกิน 7 วัน เนื่องจากฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ที่ค่อนข้างแรง อาจทำให้เกิดการปวดท้อง ท้องเสีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง วิงเวียนศีรษะได้ หากรับประทานติดต่อกันเกิน 3 วันแล้วไม่ดีขึ้น ควรหยุดรับประทานยา และรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคต่อไป ในกรณีที่จำเป็นจะต้องรับประทานต่อเนื่องเกิน 7 วัน ควรรับประทานคู่กับน้ำขิงเพื่อลดการเกิดผลข้างเคียงดังกล่าว (น้ำขิงมีฤทธิ์ร้อน จึงช่วยให้ร่างกายอบอุ่นได้)
- ไม่ควรใช้ฟ้าทะลายโจรกับผู้มีปัญหาความดันโลหิตต่ำ เนื่องจากฟ้าทะลายโจรมีสรรพคุณลดความดันโลหิต หากฝืนใช้ หรือใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจทำให้รู้สึกหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกมึนงงสับสน ถ้าเกิดอาการเหล่านี้ขึ้น ควรหยุดใช้ทันทีแล้วอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นเองภายใน 3-4 ชั่วโมง เนื่องจากฟ้าทะลายโจรไม่ตกค้างในร่างกาย
- ฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ "เย็น" จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้ที่มีฤทธิ์ "ร้อน" หากผู้ป่วยเป็นหวัดที่เกิดจากฤทธิ์ "เย็น" เช่น มีอาการหนาวข้างในร่างกาย เป็นไข้แบบไม่มีเหงื่อ แล้วใช้ฟ้าทะลายโจร อาจทำให้อาการรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
- ฟ้าทะลายโจรมีผลข้างเคียงรุนแรง ควรสังเกตอาการ หรือความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นหลังใช้งาน ผู้ป่วยที่แพ้ฟ้าทะลายโจรรุนแรง อาจมีอาการเริ่มต้นตั้งแต่ผื่นขึ้น หน้าบวม ตัวบวม หายใจไม่ออก และถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากมีอาการเหล่านี้ ให้หยุดยา และรีบไปพบแพทย์ทันที
- สตรีที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ และอยู่ในช่วงให้นมบุตรควรหลี่กเลี่ยง เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อเด็ก และทำให้เกิดความผิดปกติได้
ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรรสขมที่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยา หากใช้อย่างเหมาะสมจะช่วยบรรเทาอาการของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม แม้ฟ้าทะลายโจรจะมีคุณประโยชน์มาก แต่หากใช้ผิด ก็อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรศึกษาข้อระวังในการใช้โดยละเอียด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ข้อควรรู้เกี่ยวกับตำรับยา สารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) สารในต้นฟ้าทะลายโจร ละลายในแอลกอฮอร์ได้ดีมาก ละลายในน้ำได้น้อย ดังนั้นยาทิงเจอร์ หรือยาดองเหล้าฟ้าทะลายโจร จึงมีฤทธิ์แรงที่สุด ยาชงมีฤทธิ์แรงรองลงมา ยาเม็ดมีฤทธิ์อ่อนที่สุด
ข้อควรระวัง บางคนรับประทาน ยาฟ้าทะลายโจร จะเกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย ปวดเอว เวียนหัว แสดงว่าแพ้ยา ให้หยุดยา และเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น หรือลดขนาดรับประทานลง
ขอขอบคุณ
www.honestdocs.co
www.rspg.or.th