Article Old
หากเรามีสุขภาพที่ดีย่อมจะไม่เป็นอุปสรรคในการที่จะทำสิ่งที่ปรารถนาให้ประสบความสำเร็จ ดังนั้นการเรียนรู้วิธีการรักษาสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจเรามาเรียนรู้วิธีการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายด้วยตัวคุณเอง...
การมีสุขภาพกายที่ดี อายุยืน ร่างกายแข็งแรง
สุขภาพที่ดีใครๆ ก็อยากมี แต่วิถีการใช้ชีวิตในปัจจุบันมีสิ่งยั่วยุต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน การเสพสื่อโซเชียล ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นต้นเหตุที่ทำให้สุขภาพของเราทรุดโทรมทั้งนั้น ดังนั้นผมจึงมีวิธีสร้างสุขภาพดีง่ายๆ ที่อยากบอกต่อ ซึ่งหากคุณสาวๆ ได้ทำตามล่ะก็ รับรองเลยว่า สุขภาพจะดีขึ้นแน่นอน
1. ทานอาหารเช้า เนื่องจากคุณต้องอดอาหารมาตลอดคืน การทานอาหารเช้าคือสิ่งจำเป็นนอกจากเป็นการกระตุ้นระบบต่างๆ ในร่างกายแล้ว ยังทำให้คุณไม่หิวจนทานมากเกินไปในมื้ออื่นอีกด้วย และจากการศึกษาพบว่าผู้ใหญ่ที่ทานข้าวเช้าเป็นประจำจะทำงานออกมาได้ดีกว่า เช่นเดียวกับเด็กที่ทานข้าวเช้าเป็นประจำก็จะมีผลการเรียนที่ดีกว่า ซึ่งข้าวเช้านั้นควรเลือกของที่มีประโยชน์ หากการทานเป็นอาหารมื้อใหญ่ไม่เหมาะสำหรับคุณ ก็อาจเลือกเป็นโจ๊ก ข้าวต้ม หรือกราโนล่าแทนก็ดีเช่นเดียวกัน
นอกจากการรับประทานอาหารเช้าเป็นประจำจะส่งผลดีต่อสุขภาพ การเลือกประเภทอาหารก็สำคัญไม่แพ้กัน คารโบไฮเดรตจัดเป็นกลุ่มสารอาหารหลักที่ร่างกายนำไปเผาผลาญเป็นพลังงานได้ทันที จากนั้นจึงเป็นโปรตีน ในขณะที่ไฟเบอร์จะช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น โดยไม่ได้รับพลังงานส่วนเกินมากไป อีกทั้งยังช่วยลดอาการท้องผูกและช่วยให้ระบบการย่อยอาหารเป็นไปตามปกติ กลุ่มอาหารที่รับประทานเป็นมื้อเช้าจึงควรผสมผสานสารอาหารหลายประเภทเพื่อช่วยให้ระบบเผาผลาญของร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลองปรับอาหารเช้าให้ตรงกับความชอบของตนเองโดยพยายามเลือกเมนูที่มีสารอาหารอย่างน้อย 3 กลุ่มขึ้นไป
2. การวางแผนทานอาหาร มันน่าจะมีสักวันหนึ่ง ที่คุณนั่งลง หยิบกระดาษและปากกาขึ้นมาแล้วคิดว่าคุณควรจะทานอะไรในแต่ละมื้อของวัน รวมถึงของว่างระหว่างวันด้วย นอกจากจะทำให้สุขภาพคุณดีขึ้นแล้วยังช่วยประหยัดเงินได้อีกด้วย เพราะการวางแผน และเตรียมอาหารทำให้คุณทราบว่าในแต่ละวันคุณจะทานอาหารอะไรบ้างเพื่อสุขภาพของคุณ สิ่งที่ควรทำคือลดปริมาณน้ำตาล แป้ง และไขมันลง แล้วทดแทนด้วยโปรตีนและผักต่างๆ นอกจากนี้คุณอาจจะให้รางวัลตัวเองด้วยการทานอาหารที่คุณชอบสัปดาห์ละครั้ง โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีน้ำตาล แป้งหรือไขมันปริมาณเท่าไหร่
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า อาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อร่างกาย การจะเกิดผลดีหรือผลเสียนั้น ขึ้นอยู่กับการเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม เพราะร่างกายจะนำไปพัฒนาและซ่อมแซมในส่วนต่างๆ ควรลดอาหารที่มีแคลอรีสูง ของทอด ปิ้ง-ย่าง หรืออาหารที่มีไขมันเยอะ เพราะหากร่างกายเผาผลาญไม่หมดก็จะกลายเป็นไขมันสะสมในร่างกายในที่สุด ทางที่ดีควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์
3. ดื่มน้ำเปล่ามากๆ ทุกๆ คนทราบดีว่าหากต้องการมีสุขภาพที่ดีควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แต่น้อยคนเหลือเกินที่จะทำได้ ทำให้มีปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ดื่มน้ำเปล่าน้อยในแต่ละวัน มันจะเป็นเรื่องที่ดีที่คุณเริ่มทำตั้งแต่อ่านบทความนี้จบ โดยวิธีการง่ายๆ คือการพกขวดน้ำเล็กๆใกล้มือตลอดเวลา หรือหากคุณไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า อาจใส่รสชาติด้วยการเติมมะนาวฝาน หรือส้มสักชิ้นลงไป แต่คุณต้องไม่เติมน้ำตาลลงไปในนั้น เพราะการดื่มน้ำหวานมากๆ จะทำให้คุณน้ำหนักเพิ่ม และเป็นโรคเบาหวานได้ง่าย
ร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 70 ในเลือดมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 92 ในสมองมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 85 ถ้าพิจารณาในแต่ละเซลล์จะมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 60 นอกจากนี้น้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญและจำเป็นของเซลล์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเซลพืช เซลล์สัตว์ และเซลล์มนุษย์ ทุกเซลล์ล้วนประกอบด้วยน้ำทั้งนั้น ในเซลล์มนุษย์และเซลล์สัตว์มีน้ำประมาณ 2 ใน 3 ของน้ำหนักร่างกาย ในพืชบกมีน้ำประมาณร้อยละ 50–75 ถ้าเป็นพืชน้ำอาจมีน้ำมากกว่าร้อยละ 95 โดยน้ำหนัก
4. ออกกำลังกายวันละนิด จิตแจ่มใส การออกกำลังกายที่ดีคือครั้งละ 30 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งฟังดูเหมือนง่าย แต่ทำจริงๆ นั้นมันยากเหลือเกิน ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่มีเวลาออกกำลังกายนานๆ การทำครั้งละนิดละหน่อย ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน โดยคุณอาจจะยืดกล้ามเนื้อในตอนเช้าก่อนอาบน้ำ ใช้บันไดแทนที่จะใช้ลิฟต์ หรือเดินให้มากขึ้นในแต่ละวัน ก็นับเป็นการออกกำลังกายเช่นเดียวกัน
การออกกำลังกายนอกจากจะได้สุขภาพที่ดี เพราะอวัยวะภายในร่างกายจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังทำให้เรามีภูมิต้านทานห่างไกลโรคภัยต่างๆ สุขภาพจิตก็ดีตามไปด้วย ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาทีหลังเลิกงาน ลองเดินออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้บ้านก็ได้ หรือจะวิ่ง จะแอโรบิค ก็ล้วนแต่ทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดีทั้งนั้น แต่หากใครไม่มีเวลาออกกำลังกายจริงๆ งานบ้านก็อาจจะช่วยได้เหมือนกัน เช่น ทำสวน กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างรถ ก็ถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ทั้งยังทำให้บ้านสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกด้วย
5. ออกห่างจากโซเชียลบ้าง การเข้าไปเช็ค และอัพเดตทุกๆ อย่างบนโลกโซเชียลกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของคนยุคปัจจุบัน แต่บางครั้งการที่คุณวางสมาร์ทโฟนของคุณลง แล้วใส่ใจคนรอบข้าง หรือทำกิจกรรมที่ไม่ใช่บนสมาร์ทโฟนเช่น อ่านหนังสือ ทำอาหาร หรือเดินเล่นบ้างในตอนเย็น แล้วกลับไปอัพเดตโลกโซเชียลของคุณในตอนเช้า เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพของคุณ
ทุกวันนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนหรือทำอะไรก็ต้องถ่ายรูป แชร์ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ไม่ให้พลาดเหตุการณ์สำคัญๆ ซึ่งถ้าใช้ในปริมาณที่เหมาะสมก็จะให้ผลดีแก่เรา แต่ถ้าใช้มากเกินไปนอกจากจะทำให้เป็นคนติดโซเชียลแล้ว ยังอาจทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเมื่อยล้า หรือตาแห้งเพราะต้องคอยจ้องอยู่ที่หน้าจอเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการเบลอ สายตาพร่ามัว หรือสายตาสั้นได้ ทางที่ดีควรพักสายตา และบริหารดวงตาของเราด้วย เช่น กระพริบตา กลอกตาไปมาเพื่อป้องกันตาแห้ง หรือมองไปยังวัตถุที่อยู่ไกล ก็จะช่วยให้ผ่อนคลายดวงตาลงได้ และถ้าลดโซเชียลลงบ้าง ก็จะทำให้ไม่ต้องเครียดจากการเสพข่าว สุขภาพจิตดีขึ้น
6. ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา หรือเรียนรู้สิ่งที่คุณอยากเรียนในวัยเด็กแต่ไม่มีโอกาส เป็นหนึ่งแนวคิดของคนที่ต้องการมีสุขภาพดี เพราะจะทำให้สมองของคุณกลับมาตื่นตัวอีกครั้ง หลังจากทำสิ่งเดิมๆ มานาน และห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย โดยคุณอาจจะไปสมัครเรียนเต้น ดนตรี วาดรูป หรือเรียนภาษาใหม่ๆ เพื่อมาพัฒนางานของคุณก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนัก
การบริหารสมองก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีได้ ลองหาเกมฝึกสมองมาเล่น เช่น เกมอักษรไขว้ เกมจำตำแหน่งภาพ เกมจับผิด เกมซูโดกุ หรือเกมหมากรุกจีน เป็นต้น ควรหันมารับประทานผลไม้พวก ส้ม องุ่น เบอร์รี่ให้มากขึ้นด้วย เพราะผลไม้จำพวกนี้มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดอาการหลงๆ ลืมๆ ได้ หรือการหัวเราะก็ช่วยให้เลือดไหลเวียนดียิ่งขึ้น เพราะร่างกายจะหลั่งสารเคมีในระบบประสาทที่ทำให้ผ่อนคลาย ซึ่งจะส่งผลดีทั้งร่างกาย จิตใจ อีกทั้งคนรอบข้างก็จะมีความสุขตามไปด้วย
7. นอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับที่มีคุณภาพ และเพียงพอจะทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน เพราะนอกจากร่างกายจะได้คลายความเหนื่อยล้าแล้ว สมองของคุณจะทำการจัดระเบียบความทรงจำต่างๆ ขณะที่คุณนอนหลับทำให้กลายเป็นความทรงจำระยะยาว อีกทั้งในระยะยาวยังทำให้คุณห่างไกลจากการเป็นโรคหัวใจได้อีกด้วย โดยการนอนหลับที่มีคุณภาพนั้น ภายในห้องควรไม่มีแสงไฟเกิดขึ้น ชาร์ตโทรศัพท์ไกลจากหัวนอน รวมถึงกำหนดเวลานอนและตื่นให้ชัดเจนเพื่อให้คุณทำมันให้เป็นกิจวัตรประจำวัน
เมื่อทำกิจวัตรต่างๆ ในแต่ละวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว การพักผ่อนที่ดีที่สุด คือ การนอน เพราะร่างกายจะได้ซ่อมแซมฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ ควรนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงและนอนให้เป็นเวลา เพราะหากนอนดึกเกินไป ร่างกายอาจเหนื่อยล้าได้ อีกทั้งยังมีผลเสียตามมา เช่น มีริ้วรอย เสี่ยงต่อโรคภัยต่างๆ ทางที่ดีควรพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อตื่นขึ้นมารับวันใหม่ ร่างกายจะได้สดชื่นและตื่นตัวตลอดทั้งวัน สุขภาพร่างกายก็จะดีตามไปด้วย
8. การทรงตัวเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยใดก็ตาม การทรงตัวเป็นเรื่องสำคัญเพราะหากคุณหกล้ม หรือตกบันได อาจทำให้กระดูกคุณหัก และเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคุณไปตลอดกาล ดังนั้นการฝึกการทรงตัว หรือความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจะทำให้คุณลดความเสี่ยงต่อสิ่งเหล่านั้น การเล่นโยคะ เป็นหนึ่งในวิธีการฝึกที่ดี หรือหากคุณไม่มีเวลา คุณสามารถฝึกมันได้ตลอดเวลาที่คุณเดิน หรือขยับร่างกาย
การทรงตัว หรือภาวะสมดุลของการทรงตัว ซึ่งทำให้คนเราสามารถนั่ง นอน ยืน เดิน วิ่ง ปฏิบัติ กิจวัตรประจำวัน และปฏิบัติกิจกรรมนอกเหนือจากกิจวัตรประจำวัน เช่น การเล่นกีฬา ว่ายน้ำ ขับรถและกิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวได้อย่างปกตินั้น ต้องอาศัยกลไกของการทรงตัวหลายอย่างทำงานประสานกันอย่างสมดุล ได้แก่ การรับรู้สภาวะแวดล้อมจากสายตา การรับรู้แรงถ่วงของร่างกาย ผ่านกล้ามเนื้อข้อต่อของร่างกาย แขน ขา และกระดูกสันหลัง และโดยเฉพาะการรับรู้การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของศีรษะผ่านทางประสาททรงตัวในหูชั้นในทั้ง 2 ข้าง โดยการทำงานของระบบรับรู้ทั้งสามนี้ จะต้องประสานกันอย่างสมดุล และส่งสัญญาณไปสู่ศูนย์รับและประมวล ข้อมูลในสมองส่วนกลาง ซึ่งมีการติดต่อไปยังกลีบสมอง เพื่อการรับรู้ในทางความรู้สึกและสามารถควบคุมการทรงตัวในภาวะต่างๆ ได้อย่างสมดุล โดยไม่เกิดอันตรายต่อร่างกาย ในส่วนของสมองส่วนท้ายเอง มีการส่งข้อมูลมายังศูนย์กลางการทรงตัวในก้านสมองด้วย ทำให้คนเราสามารถทรงตัวในสภาพแวดล้อมได้อย่างเป็นปกติ การผิดปกติของระบบการทรงตัวทำให้เกิดอาการและอาการแสดงทางคลินิกที่แยกได้เฉพาะเป็นการผิดปกติของระบบปลายทางของประสาทและระบบกลไกปรับตัวของสมอง
9. มีสติ และสมาธิอยู่ตลอดเวลา มีการศึกษาว่าคนที่ทำการฝึกสมาธิเป็นเวลา 8 สัปดาห์จะมีการเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมอง ทำให้ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น มีความจำและเรียนรู้ได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นการฝึกสมาธิ หรือการมีสติกับทุกๆ สิ่งที่ทำจะทำให้สุขภาพจิต และสมองของคุณดีขึ้นไปด้วย หากทราบแบบนี้แล้วในเมื่อคุณใส่ใจสุขภาพกาย ก็ต้องอย่าลืมใส่ใจกับสุขภาพสมองและสุขภาพจิตด้วยเช่นกัน
การฝึกสติเป็นเรื่องสากล ไม่ว่าคนชาติใดศาสนาใดก็ฝึกได้ เพราะสติเป็นสิ่งที่นำมาใช้ได้ประโยชน์ได้มากมาย จากการศึกษาวิจัยพบว่า การฝึกสติเป็นประจำสมํ่าเสมอจะช่วยป้องกัน บรรเทา และบำบัดอาการเจ็บป่วยได้อย่างหลากหลาย เช่น อาการซึมเศร้า เครียด ไมเกรน พฤติกรรมเสพติด โรคกระเพาะอาหารและลำไส้ ฯลฯ ผู้ที่ฝึกสติเป็นประจำจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองและสมองส่วนหน้า ทำให้มีความสงบมากขึ้น มีความยั้งคิดมากขึ้น มีประสิทธิภาพในการจำมากขึ้น มีสภาวะอารมณ์ทางบวกมากขึ้น และปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ดีขึ้น
การฝึกสติช่วยให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น เพลิดเพลินมากขึ้น การมีสติรู้ตัวช่วยป้องกันอุบัติเหตุต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ และการฝึกสติให้รับรู้การเคลื่อนไหวและความรู้สึกของอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายยังช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่เกิดจากการหักโหม หรือการออกกำลังกายที่ไม่ถูกต้อง หรือการไม่ประเมินขีดความสามารถในขณะนั้นๆ ได้ด้วย ส่งผลให้สามารถทำกิจกรรมทางกายได้อย่างมีความสุขยิ่งขึ้น และได้รับพลังชีวิตมากขึ้น การฝึกสติ สามารถฝึกได้ในหลายระดับ เช่น ระดับพื้นฐาน คือมีสติในการทำงานและการใช้ชีวิตทั่วไปให้มีข้อผิดพลาดน้อย สำหรับการพัฒนาสุขภาพกาย-สุขภาพใจให้ดีขึ้น ระดับลึกซึ้งมากขึ้นคือมุ่งไปสู่สมาธิและปัญญา ได้แก่ การฝึกวิปัสสนากรรมฐาน
ทั้งหมดนี้คือวิธีการหลากหลายวิธี ในการรักษาสุขภาพร่างกายของเรา ให้มีความแข็งแรง และปกติสุข ซึ่งทุกวิธีที่กล่าวมา ทุกคนสามารถทำได้ และทำได้อย่างแน่นอน ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น แน่วแน่ โดยมีเป้าหมายคือ สุขภาพที่แข็งแรง เพื่อเตรียมสุขภาพให้มีชีวิตยืนยาว ต่อเนื่อง สามารถทำสิ่งต่างๆ ที่ตั้งใจได้สำเร็จ และมีความสุขกับสุขภาพดี
ขอขอบคุณ
www.pobpad.com
www.krungsri.com
www.healthsmile.co.th
www.lovefitt.com
www.srisangworn.go.th
www.hfocus.org
www.honestdocs.co
จะมีกี่คนที่คิดว่า เครื่องดื่มรสหวานเย็น หอมชื่นใจ ที่ดื่มอยู่ทุกวัน จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่เพิ่มความอ้วนให้กับเรา มีรายงานการศึกษาจากต่างประเทศที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า นับวันคนทั่วโลกจะดื่มเครื่องดื่ม...
เครื่องดื่มทำให้อ้วนได้จริงหรือ?
จะมีกี่คนที่คิดว่า เครื่องดื่มรสหวานเย็น หอมชื่นใจ ที่ดื่มอยู่ทุกวัน จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่เพิ่มความอ้วนให้กับเรา
มีรายงานการศึกษาจากต่างประเทศที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า นับวันคนทั่วโลกจะดื่มเครื่องดื่มชนิดต่างๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับความก้าวหน้าของธุรกิจและการตลาด ทำให้มีผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชนิดใหม่ๆ แปลกๆ มากมายมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และในจำนวนเครื่องดื่มที่บริโภคมากขึ้น เช่น กาแฟเย็นที่มีรสหวาน มัน หอม กลมกล่อม อุดมด้วยครีมและเนย จะส่งผลต่อน้ำหนักตัวและความอ้วนได้
1 ใน 3 ของความอ้วน... เกิดจากเครื่องดื่มรสหวาน
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งสรุปว่า 1 ใน 3 ของความอ้วนหรือน้ำหนักของชาวอเมริกันที่เพิ่มมากขึ้น มีสาเหตุมาจากการบริโภคเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีรสหวานจากส่วนผสมของน้ำตาล และ/หรือครีมเทียมที่เสริมความมัน เพิ่มรสชาติของเครื่องดื่มให้กลมกล่อม น่ากิน
อธิบายได้ง่ายๆ ว่า เครื่องดื่มเหล่านี้มักผสมด้วยน้ำตาลและไขมัน ทำให้มีปริมาณสารอาหารที่ให้พลังงานเป็นจำนวนมาก ทางการแพทย์เรียกว่า มีแคลอรี (Calories) เมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย แล้วไม่ถูกนำไปใช้เป็นพลังงาน ก็จะถูกนำไปสะสมเป็นไขมัน ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และก็อ้วนขึ้นได้
นอกจากนี้ ยังมีอีกการศึกษาหนึ่งที่ติดตามกลุ่มตัวอย่างนานถึง 8 ปี พบว่า ผู้หญิงที่เพิ่มการดื่มเครื่องดื่มรสหวานอีกวันละ 1 แก้ว จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นถึง 8 กิโลกรัม ในช่วงที่ทำการศึกษาวิจัย ในขณะที่ผู้หญิงที่ลดเครื่องดื่มรสหวานลง 1 แก้ว/วัน จะสามารถลดน้ำหนักลงได้เพียง 2.8 กิโลกรัมเท่านั้น
เครื่องดื่มรสหวาน... เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
มีรายงานวิจัยหนึ่งพบว่า ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มรสหวานจากน้ำตาล จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดมากยิ่งขึ้น โดยเครื่องดื่มชนิดนี้จะส่งผลต่อขนาดของสารแอลดีแอล หรือไขมันไม่ดี (LDL : Low Density Lipoprotein) ระดับน้ำตาลในเลือด และสาร C-Protein
นอกจากนี้ เครื่องดื่มรสหวานยังส่งผลทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โรคฟันผุ อีกด้วย
ควรจะเลือกเครื่องดื่มชนิดใด
ดังนั้น เครื่องดื่มจึงส่งผลต่อสุขภาพของเราได้ ประกอบกับในโลกยุคปัจจุบันที่มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิด มานำเสนอขายให้กับประชาชนได้บริโภคอย่างมากมาย ตามตู้แช่ เครื่องหยอดเหรียญ หรือซุ้มกาแฟ ไม่ว่าจะเป็น น้ำดื่ม ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม
ในที่นี้จึงขอเสนอแนวทางการเลือกบริโภคเครื่องดื่มให้เหมาะสมและดีกับสุขภาพของเรา โดยจะขอแบ่งกลุ่มของเครื่องดื่มเป็น 6 กลุ่ม ตามคุณค่าของเครื่องดื่มต่อสุขภาพจากมากไปน้อย ดังนี้
1. น้ำดื่ม
จะเป็นน้ำกลั่น น้ำกรอง น้ำต้มสุก หรือน้ำฝน ล้วนเป็น "เครื่องดื่มที่ดีที่สุด" มีประโยชน์ต่อสุขภาพช่วยให้การทำงานต่างๆ ของร่างกาย เช่น การเผาผลาญพลังงาน การหายใจ การหลั่งเหงื่อ การขับปัสสาวะ เป็นปกติ นอกจากนี้ น้ำยังช่วยแก้กระหาย และความชุ่มชื้นต่อร่างกายอีกด้วย
หลายคนอาจสงสัยว่า ในวันหนึ่งร่างกายของเราควรได้รับน้ำปริมาณเท่าใดจึงจะเหมาะสม สำหรับในประเทศจะแนะนำให้ดื่มน้ำประมาณวันละ 2 ลิตร หรือ 2,000 มิลลิลิตร ซึ่งส่วนหนึ่งอาจได้จากอาหารที่กินเข้าไปแล้ว
2. ชาและกาแฟ (ไม่เติมน้ำตาลและครีม)
รองจากน้ำดื่ม คือ ชาและกาแฟ นับเป็นเครื่องดื่มที่นิยมดื่มเป็นอันดับ 2 และจะดีกับสุขภาพ ถ้าหากดื่มชาและกาแฟชนิดที่ไม่ต้องเติมน้ำตาลและครีม (หรือนมสด) เพราะเฉพาะชาหรือกาแฟเดี่ยวๆ จะไม่มีแคลอรีอยู่เลย จึงไม่ส่งผลต่อน้ำหนักตัวและความอ้วน
นอกจากนี้ ชาจะประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ฟลาวานอยด์ และสารอื่นๆ ที่จะมีประโยชน์ต่อร่างกาย อาจช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ลดอาการฟันผุ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด และลดการเกิดนิ่วที่ไตได้
ส่วนกาแฟก็จะช่วยลดโอกาสของการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ หากชาเขียวก็มีรายงานว่า ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้
ทั้งชาและกาแฟมีสารกาเฟอีนเหมือนกัน แต่พบในกาแฟมากกว่าในชา สารกาเฟอีนนี้ส่งผลไปกระตุ้นสมอง ทำให้ไม่ง่วงนอน กระตุ้นการหายใจ การเต้นของหัวใจ และเพิ่มการขับปัสสาวะ ซึ่งบางคนอาจจะไวต่อสารกาเฟอีนนี้ได้ โดยมักมีอาการใจสั่น (หัวใจเต้นเร็ว) เมื่อดื่มกาแฟ จึงควรหลีกเลี่ยงกาแฟ
3. นมและน้ำเต้าหู้ที่มีไขมันต่ำ
นมเป็นสารอาหารที่สำคัญของเด็กที่อุดมไปด้วยโปรตีน แคลเซียม และวิตามินดี
ส่วนน้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลืองที่เติมแคลเซียมก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่แพ้นมวัว แต่ก็มีรายงานว่า นมมีส่วนสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากและมดลูก ในผู้ใหญ่จึงควรดื่มนมไม่เกินวันละ 2 แก้ว
4. เครื่องดื่มรสหวานที่ไม่ใช้น้ำตาล
เครื่องดื่มประเภทนี้มีส่วนผสมของสารที่ให้ความหวานชนิดอื่นที่ไม่ใช้น้ำตาล เช่น แอสพาร์แทม (Aspartame) แซ็กคาริน (Saccharin) ฯลฯ ตัวอย่างเช่น ไดเอ็ทโค๊ก เป็ปซี่ซีโร่ เป็นต้น ซึ่งเป็นน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลที่ให้แคลอรี (พลังงานแก่ร่างกาย) จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ยังติดรสชาติของน้ำอัดลม แต่ไม่ต้องการแคลอรี แต่ก็มีรายงานมีส่วนทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้
5. เครื่องดื่มที่ผสมสารอาหาร
กลุ่มนี้ได้แก่ น้ำผลไม้ น้ำผัก นม เครื่องดื่มเกลือแร่ เครื่องดื่มเสริมวิตามิน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ควรระวังถึงจำนวนแคลอรีหรือจำนวนพลังงานที่มีอยู่ในเครื่องดื่ม ที่จะส่งผลเพิ่มน้ำหนักตัวของผู้ที่เดิมได้
6. เครื่องดื่มรสหวานจากน้ำตาล
กลุ่มนี้ถือเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าน้อยที่สุด ไม่แนะนำให้ดื่มเป็นประจำ เพราะมีส่วนผสมของน้ำตาลที่ให้ความหวานแก่ผลิตภัณฑ์ เพราะถ้าดื่มเป็นประจำจะทำให้ร่างกายได้พลังงานเพิ่มขึ้น ถ้าใช้ไม่หมด ก็จะไปสะสมเป็นไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย นอกจากนี้ยังส่งผลต่อโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคฟันผุอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ประเภท Smoothies กาแฟชนิด 3 in 1 กาแฟพร้อมดื่ม ฯลฯ ซึ่งอุดมไปด้วยน้ำตาล ครีม หรือนม จึงมีพลังงานหรือจำนวนแคลอรีในปริมาณที่สูง
ควรเลือกเครื่องดื่มที่ดีกับสุขภาพอย่างไร
จากการแบ่งกลุ่มเครื่องดื่มที่มีผลต่อสุขภาพเป็น 6 กลุ่ม เรียงตามผลดีที่มีต่อสุขภาพจากมากไปน้อยนั้น ในทางปฏิบัติจะแนะนำว่า ในปริมาณน้ำหรือเครื่องดื่มที่จะบริโภคไปทั้งหมดใน 1 วันนั้น มากกว่าร้อยละ 70 ควรเป็นเครื่องดื่มในกลุ่มที่ 1 และ 2 รวมกัน อันได้แก่ น้ำ ชา และกาแฟรวมกัน และจะต้องเป็นกาแฟและชาที่ไม่เติมน้ำตาลและครีม
ส่วนที่เหลืออีกไม่เกินร้อยละ 30 เป็นเครื่องดื่มในกลุ่มที่ 3-6 รวมกัน โดยภาพรวมแล้ว ถือว่า น้ำเปล่าเป็นเครื่องดื่มที่ดีที่สุด ควรดื่มเป็นประจำ และเป็นปริมาณส่วนใหญ่ของเครื่องดื่มทั้งหมด
ส่วนเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและครีมเป็นเครื่องดื่มมีคุณค่าต่อสุขภาพน้อยที่สุด ไม่ควรดื่มเป็นประจำ ถ้าไม่ดื่มเลยก็จะดีที่สุด เพราะจะส่งผลต่อสุขภาพทั้งในด้านน้ำหนักตัว ความอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และฟันผุ อีกด้วย
ขอบคุณ
www.doctor.or.th/
ความเครียดจากการทำงาน ถือว่าเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วสำหรับมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ซึ่งความเครียดที่มากเกินไปนั้น สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้เป็นอย่างมาก ทั้งทำให้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ หายใจถี่...
ความเครียดลงกระเพาะ โรคใกล้ตัวของทุกๆ คน
ความเครียดจากการทำงาน ถือว่าเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วสำหรับมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ซึ่งความเครียดที่มากเกินไปนั้น สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้เป็นอย่างมาก ทั้งทำให้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ หายใจถี่ กล้ามเนื้อเกิดอาการเกร็ง ปากแห้ง รวมถึงทำให้การทำงานของกระเพาะอาหาร และลำไส้หยุดชะงัก ส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารเพิ่มสูงขึ้น ทำให้อาหารปั่นป่วนในช่องท้อง และรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน หรือก็คือโรค เครียดลงกระเพาะนั่นเอง
ความเครียดและความวิตกกังวลสามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายในส่วนต่างๆ ได้ ไม่เว้นแม้แต่ระบบย่อยอาหาร หรือที่เรียกกันว่าภาวะเครียดลงกระเพาะ โดยอาจมีอาการคลื่นไส้ แสบร้อนกลางอก ท้องเสีย ท้องผูก หรืออาจทำให้โรคในระบบย่อยอาหารที่เป็นอยู่แล้วแย่ลงกว่าเดิม ซึ่งการรักษาและป้องกันอย่างตรงจุดที่สุด คือ การเรียนรู้ที่จะรับมือกับความเครียดที่เกิดขึ้น
ความเครียดส่งผลต่อระบบย่อยอาหารอย่างไร
อวัยวะในระบบย่อยอาหารเป็นส่วนที่อ่อนไหวและมีเส้นประสาทจำนวนมาก ความเครียดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เส้นประสาทเหล่านี้สั่งการให้เลือดไหลเวียนช้าลง ทำให้กล้ามเนื้อในระบบย่อยอาหารทำงานแย่ลง และอาจก่อให้เกิดผลกระทบอื่นๆ ตามมา ดังนี้
นอกจากนี้ การเกิดความเครียดยังกระตุ้นให้อาการของโรคที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหารแย่ลงได้ เช่น โรคลำไส้แปรปรวน แผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ เป็นต้น
สาเหตุของโรค เครียดลงกระเพาะ
สาเหตุหลักของโรคเครียดลงกระเพาะก็คือ "ความเครียดสะสม" เพราะเมื่อเราเครียด ระบบประสาทอัตโนมัติจะกระตุ้นต่อมหมวกไตให้หลั่งฮอร์โมนอดรีนาลีนในปริมาณที่มากกว่าปกติ ส่งผลให้ร่างกายตื่นตัวตลอดเวลา และยังไปกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ จนเกิดอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร และทำให้ลำไส้เกิดการหดตัวมากกว่าปกติอีกด้วย ซึ่งจะสร้างความเจ็บปวดทรมานให้กับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก
ระบบทางเดินอาหารกับความเครียด
เรามักได้ยินว่าโรคกระเพาะเกิดขึ้นจากการกินอาหารไม่เป็นเวลาหรือการกินอาหารรสจัด แต่ในระยะหลังๆ คนที่กินอาหารเป็นเวลาก็เป็นโรคนี้ได้เนื่องจากเมื่อเกิดความเครียดสะสม ร่างกายจะสั่งให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ จนกัดกระเพาะเกิดเป็นอาการปวดท้อง นอกจากนั้นความเครียดยังส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารในอาการแบบอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นกรดไหลย้อน ลำไส้แปรปรวน ลำไส้อักเสบ หรือแม้แต่อาหารไม่ย่อยก็เกิดจาดความเครียดได้เช่นเดียวกัน
- หลั่งกรดที่จำเป็นต่อการย่อยน้อยลง ส่งผลให้มีภาวะอาหารไม่ย่อยหรือท้องอืด
- ระบบภูมิคุ้มกันทำงานน้อยลง ทำให้เสี่ยงติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารได้ง่ายยิ่งขึ้น
- กล้ามเนื้อหลอดอาหารหดเกร็งและมีกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่อาการอาหารไม่ย่อย
- ท้องเสียหรือท้องผูก เนื่องจากลำไส้ใหญ่ตอบสนองต่อความเครียดที่เกิดขึ้น
- มีอาการแสบร้อนกลางอกและกรดไหลย้อน เนื่องจากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร และเกิดการบีบตัวของหลอดอาหารมากยิ่งขึ้น
- มีแบคทีเรียชนิดไม่ดีเพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่าแบคทีเรียชนิดที่ดี ซึ่งอาจส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี
อาการของโรค เครียดลงกระเพาะ
- คลื่นไส้อาเจียน เสียดหน้าอกหลังทานอาหาร
- ปวดบริเวณลิ้นปี่ มักปวดเวลาท้องว่าง อาการปวดจะลดลงหรือหายไป เมื่อได้ทานอาหาร
- มีอาการปวดหลัง หลังทานอาหารไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาที่กระเพาะอาหารเริ่มย่อยอาหาร
- รู้สึกแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ รู้สึกว่ามีลมในกระเพาะมาก เรอเหม็นเปรี้ยว ซึ่งมีสาเหตุมาจากกระบวนการย่อยอาหารในกระเพาะแปรปรวน จากการรีบทานอาหาร กลืนอาหารเร็วเกินไป หรือดื่มน้ำมากขณะทานอาหาร
- ปวดท้อง หรือ มวนท้อง โดยอาการจะทุเลาลงหรือหายไปเมื่อถ่ายอุจจาระ
- ถ่ายอุจจาระมากกว่าวันละ 3 ครั้ง หรือน้อยกว่า 3 ครั้ง ต่อสัปดาห์
- ต้องเบ่งถ่าย กลั้นไม่อยู่ หรือรู้สึกว่าถ่ายไม่สุด
- หากมีอาการปวดท้องรุนแรงจนถึงขั้นหายใจแรงก็ปวดท้อง ถ่ายท้อง อาเจียน หรืออุจาระเป็นเลือดและมีสีดำตลอดเวลา ถือว่าอาการอยู่ในขั้นอันตราย ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยด่วน เพราะหากช้าเกินไป อาจทำให้เกิดอาการกระเพาะอาหารทะลุ หรือเลือดออกทางเดินอาหารได้
สัญญาณเตือนเมื่อเครียดเกินไป
บ่อยครั้งที่คนเรามักเครียดโดยไม่รู้ตัว สัญญาณเตือนดังต่อไปนี้ ร่างกายกำลังบอกว่าเครียดมากเกินไป
- หายใจเร็ว รูจมูกขยาย จากการที่ปอดขยายตัวสร้างออกซิเจนสู่กล้ามเนื้อมากขึ้น ต้องการช่องทางเดิน อากาศที่กว้างมากขึ้น
- ขนลุก เนื่องจากเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังหดตัว
- อยากอาหารมากกว่าปกติ เนื่องจากต่อมไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนเร่งการเผาผลาญอาหารออกมามาก ทำให้ร่างกายถูกกระตุ้นจนอยากอาหาร
- คลื่นไส้ เนื่องจากการทำงานของกระเพาะและลำไส้หยุดลง กรดในกระเพาะจึงเพิ่มขึ้น รู้สึกหงุดหงิด รำคาญใจ นอนไม่หลับ
การรักษาโรคเครียดลงกระเพาะ
- ทานอาหารให้ตรงเวลาและครบ 3 มื้อ จะช่วยให้กระเพาะอาหารเคยชินกับการย่อย และปล่อยน้ำย่อยออกมาในปริมาณที่พอดี
- เลิกสูบบุหรี่ และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด รวมถึง ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำอัดลม เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดกระเพาะอาหารอักเสบ
- หยุดกินยาแอสไพริน ยาแก้ปวด และยาแก้อักเสบ ที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ เพราะยากลุ่มนี้มีฤทธิ์กระตุ้นให้กระเพาะอาหารเกิดการอักเสบมากขึ้น ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ยาบางชนิด ให้สอบถามแพทย์ก่อนใช้ยา
- ออกกำลังกาย ทุกครั้งที่ออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอนโดฟินออกมา ทำให้รู้สึกสบายใจ และช่วยลดความวิตกกังวลได้ การออกกำลังกายกระตุ้นการหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดและทำให้อารมณ์ดีขึ้น ทั้งยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี
- ระบายความเครียดออกมาบ้าง การเล่าความเครียดให้ผู้อื่นฟัง หรือจดบันทึกส่วนตัวสามารถช่วยระบายความเครียดได้เป็นอย่างดี
- หากมีความเครียดที่เกิดจากการหมกมุ่นอยู่กับเหตุการณ์ในอดีต หรือเอาแต่คิดถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ให้หมั่นดึงจิตใจให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน มีสติ ยอมรับความจริง และคิดหาทางแก้ปัญหาอย่างรอบคอบ
- หากิจกรรมคลายเครียด ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย ทำสมาธิ หรืออ่านหนังสือ เป็นต้น หากปฏิบัติกิจกรรมเหล่านี้เป็นประจำ จะช่วยลดความเครียดลงได้ ซึ่งช่วยให้ในระยะยาวยังสามารถรักษาโรคกระเพาะอาหารเนื่องจากความเครียดให้หายขาดได้
- ฝึกสมาธิและการหายใจ ทำได้โดยนั่งในท่าที่รู้สึกสบายและหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ จากนั้นหลับตา เพ่งสมาธิไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกายทีละส่วน เริ่มจากศีรษะและไปหยุดที่กลางลำตัวหรือบริเวณท้อง เพื่อให้รู้สึกถึงกระบวนการต่างๆ ตามธรรมชาติที่กำลังเกิดขึ้นในร่างกาย
- พูดคุยระบายความเครียด การปรึกษาเพื่อน ครอบครัว หรือคนรอบข้าง เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้รู้สึกสบายใจขึ้นได้ หรืออาจปรึกษานักจิตวิทยาเพื่อให้ช่วยแนะนำวิธีรับมือกับความเครียดและปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อปัญหา
- เลี่ยงอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ อาหารบางชนิดส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหาร อีกทั้งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความเครียดได้ โดยควรหลีกเลี่ยงอาหารขยะ อาหารที่มีน้ำตาลหรือไขมันสูง และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมทั้งควรกินนมเปรี้ยวและโยเกิร์ตให้บ่อยขึ้น เนื่องจากมี Probiotics ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในร่างกาย และทำให้ระบบต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะระบบทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน
- จัดตารางงานอย่างเหมาะสม ไม่ทำงานหนักเกินไปจนไม่มีเวลาพักผ่อน และจัดสรรงานที่ต้องทำให้เป็นไปอย่างมีระบบระเบียบ ตั้งเป้าหมายในแต่ละวันเพื่อไม่ให้รู้สึกว่ามีงานคั่งค้าง หากมีงานต้องรับผิดชอบมากเกินไปจนเกิดความตึงเครียด ควรขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า
- หาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหา การเผชิญปัญหาบางอย่างนำมาซึ่งความเครียดและความวิตกกังวลได้ การแก้ไขที่ต้นเหตุของความเครียดจึงนับเป็นวิธีรับมืออย่างตรงจุด หรืออาจลองเปลี่ยนมุมมองความคิดต่อปัญหานั้นๆ ให้เป็นไปในแง่ดีบ้าง
- เลี่ยงการรับมือกับความเครียดด้วยวิธีที่ผิด เช่น สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น เพราะไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น แต่กลับยิ่งส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหาร รวมทั้งควรลดกาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและน้ำตาล ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเครียดและส่งผลต่อกระบวนการย่อยได้
หากอาการเครียดลงกระเพาะไม่ดีขึ้น ควรทำอย่างไร
การหมั่นสังเกตตนเองเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย หากสงสัยว่าตนมีอาการของภาวะเครียดลงกระเพาะ การพยายามรับมือกับความเครียดที่เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่ทำได้ด้วยตนเองในเบื้องต้น แต่หากความเครียดยังคงอยู่หรือส่งผลให้โรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารที่เป็นอยู่แย่ลง ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและป้องกันอาการของโรครุนแรงขึ้น
สำหรับผู้ป่วยบางรายที่ไม่สามารถจัดการกับความเครียดได้ด้วยตนเอง แพทย์อาจแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ส่วนผู้ที่มีอาการปวดท้อง จุกหรือเสียดท้องติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือมีอาการกรดไหลย้อนร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป เพราะอาการดังกล่าวอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย H. pylori ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคแผลในกระเพาะอาหาร
เครียดได้ก็คลายได้ เมื่อเริ่มมีอาการที่ทำให้รู้สึกเครียดสิ่งที่ต้องทำคือ การผ่อนคลายความเครียด ซึ่งทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการพักจากสิ่งที่ทำ หากิจกรรมคลายเครียดต่างๆ หรือทำงานอดิเรกที่ชื่นชอบ ออกกำลังกาย หรือแม้แต่พูดคุยกับบุคคลต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงจิตแพทย์ด้วย นอกจากนั้นการจัดการสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น ที่บ้าน ที่ทำงานให้น่าอยู่ก็ช่วยให้ความเครียดลดน้อยลงได้เช่นเดียวกัน
อาการง่วงนอนในเวลาทำงาน โดยเฉพาะช่วงบ่ายๆ ที่หลายคนมักบอกว่า เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน อาการง่วงนอนหากเกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้นอนพักผ่อนผลข้างเคียงที่อาจตามมาก็คือ รู้สึกปวดหัวหรือมึนงง...
วิธีแก้ง่วง นอนน้อย ให้กลับมาสดชื่นพร้อมทำงานต่อ
อาการง่วงนอนในเวลาทำงาน โดยเฉพาะช่วงบ่ายๆ ที่หลายคนมักบอกว่า เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน อาการง่วงนอนหากเกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้นอนพักผ่อนผลข้างเคียงที่อาจตามมาก็คือ รู้สึกปวดหัวหรือมึนงง ทำงานไม่ได้ สมาธิไม่จดจ่ออยู่ที่งาน และยังเป็นอันตรายหากง่วงนอนในขณะขับรถ หรือทำงานควบคุมเครื่องจักร เมื่อเกิดอาการง่วงนอนขณะทำงานควรทำอย่างไรดี วันนี้เรามีวิธีแก้ง่วงมาแนะนำกัน
อาการง่วงนอนเกิดจากอะไร
อาการของคนทำงานเมื่อเริ่มง่วงนอน จะมีอาการง่วงซึมหรือหาวนอนอยู่ตลอดเวลา บางคนอาจหาวนอนมากจนทำให้น้ำตาไหล สาเหตุของการง่วงนอนตอนบ่าย หรืออาการง่วงในขณะทำงานเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น
1. เกิดจากการนอนดึก หรือนอนน้อย ร่างกายของคนเราต้องผักผ่อนอย่างน้อยกว่า 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เมื่อนอนน้อยร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็ทำให้เกิดอาการง่วง
2. เกิดจากสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม เช่น อากาศที่เย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศในห้องทำงาน บรรยากาศที่เงียบสงบ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการง่วงได้
3. อาการง่วงที่เกิดจากการทำงานมากเกินไป ทำให้ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนจนเกิดอาการอ่อนเพลียและมีอาการง่วงนอนได้ทุกเวลา
วิธีแก้อาการง่วงนอน
1. วิธีแก้ง่วงที่ได้ผลดีก็คือการดื่มน้ำหรือดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ เพื่อให้รู้สึกสดชื่น
2. การทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว การอมลูกอมหรือทานขนมขบเคี้ยว
3. ลดแป้งและของหวาน เนื่องจากเมื่อรับประทานจะทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการง่วงหลังอาหาร
4. ดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง หรือดื่มน้ำชา กาแฟ ที่มีสารคาเฟอีน
5. ดมยาดม ความเย็นจาสมุนไพรจะช่วยให้ตื่นตัวขึ้น
6. กำหนดลมหายใจ หายใจเข้าลึกๆให้เต็มปอด และค่อยๆปล่อยอย่างช้า เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้แก่สมอง
7. การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นหรือใช้ผ้าเย็นๆเช็ดหน้า ทำให้รู้สึกสดชื่นและหายจากอาการง่วงนอน
8. ฟังเพลงจังหวะสนุกๆ โดยขยับแขนขาตามจังหวะเพลง เป็นการกระตุ้นประสาทสัมผัสของเราให้ตื่นตัวแก้อาการง่วงนอนได้ดี
9. ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ โดยการลุกเดินพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน หรือแกว่งแขนยืดเส้นยืดสายด้วยท่ากายบริหารแบบง่ายๆ
10. ออกไปข้างนอกสักครู่ หากกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้อง ลองปรับเปลี่ยนบรรยากาศโดยการเดินออกไปสูดอากาศภายนอกสักครู่หนึ่ง
11. ลองปรับเปลี่ยนงานที่กำลังทำ หากกำลังทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ให้ปรับเปลี่ยนเป็นการค้นคว้าข้อมูลจากเอกสาร การอ่านรายงานหรืออ่านจากหนังสือแทน
12. หลับเลย ถ้าทำทั้ง 11 ข้อแล้วยังไม่หายง่วง แสดงว่าร่างกายไม่ไหวแล้ว หากยังฝืนทำงานต่อ ประสิทธิภาพในการทำงานก็ลดลงและอาจเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นได้
วิธีแก้อาการง่วงนอนทำได้พร้อมกันหลายวิธี อาจพักปรับเปลี่ยนอิริยาบถพร้อมๆ กับการฟังเพลง ดื่มเครื่องดื่ม ทานของว่างประเภทผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว หรือเลือกวิธีอื่นที่เหมาะกับตนเอง แต่หากทำแล้วยังรู้สึกง่วงนอน ควรหาโอกาสหลับอย่างน้อย 10 นาทีหรือนั่งหลับตานิ่งๆ เพื่อพักสายตาแล้วล้างหน้าด้วยน้ำเย็น ก็สามารถทำให้คนที่มีอาการง่วงนอนรู้สึกสดชื่นขึ้นได้
วิธีพิชิตความง่วง เพื่อสุขภาพที่ดี โดยไม่ต้องพึ่งกาแฟ
เป็นกันหรือเปล่ากับอาการตอนกลางวันไม่ยอมตื่นแต่ตอนกลางคืนไม่ยอมหลับ ตอนเช้าก็ลุกจากเตียงยากแสนยาก แถมพอตอนบ่ายๆ ดันง่วงและพาลไม่มีสมาธิทำงาน ลองมาดู วิธีแก้ง่วงระหว่างวันกันดีกว่า จะได้สดชื่น แถมยังไม่จำเป็นต้องเดินไปชงกาแฟอีกต่างหาก
1. หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้งหรือของหวาน ใครที่ชอบจัดเต็มในมื้อเที่ยวล่ะก็ฟังให้ดี ยิ่งถ้าเลือกอาหารจำพวกแป้งหรือน้ำตาล อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตล่ะก็จะทำให้ง่วงได้อย่างง่ายดาย เพราะอาหารพวกนี้จะทำให้ร่างกายต้องส่งเลือดไปเลี้ยงกระเพาะอาหารมากขึ้นเพื่อเร่งการย่อย ทำให้เลือดที่จะไปเลี้ยงสมองน้อยลงนั่นเอง
2. นอนให้เต็มอิ่มตอนกลางคืน ที่บ่นว่าง่วงๆ ทุกๆ บ่ายนี่อาจเป็นเพราะว่าตอนกลางคืนไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนมัวแต่เล่น Social อยู่หรือเปล่าลองเช็คดู ลองปรับเปลี่ยนเวลาดูถ้าไม่อยากมานั่งทรมานกับความง่วงในตอนกลางวัน ถ้าปกตินอนเที่ยงคืนลองขยับมานอนเร็วขึ้นสักชั่วโมงหรือสองชั่วโมง เพิ่มเติมเวลาให้ร่างกายได้พักผ่อนมากขึ้นกันดีกว่า
3. ดื่มน้ำเปล่าระหว่างวันเยอะๆ ประโยชน์ของน้ำเปล่ามีมากมายจริงๆ เรื่องความง่วงซึมก็เช่นกัน แทนที่จะดื่มกาแฟเป็นแก้วๆ ลองหันมาจิบน้ำเปล่าบ่อยๆ ได้สุขภาพที่ดีแถมยังคลายง่วงด้วยนะ เพราะการดื่มน้ำเปล่าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ระดับออกซิเจนในร่างกาของเราเพิ่มขึ้น ทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้น
4. งีบประมาณ 10-15 นาที ถ้าวันไหนไม่ไหวจริงๆ ถ้าไม่ได้พักสายตาล่ะก็ฟุ่บคาโต๊ะทำงานแน่ๆ ลองหาเวลางีบหลักสักประมาณ 10-15 ดูนะ แต่ไม่ควรนอนเกินครึ่งชั่วโมง มีผลการวิจัยยืนยันว่าการงีบหลับในช่วงกลางวันในเวลาที่พอเหมาะ จะช่วยทำให้ตื่นตัวและความจำดีขึ้นด้วย
5. หาเพลงสนุกๆ ฟัง หลายคนทำงานกันจนไม่ได้สนใจฟังอะไรเลย และพอง่วงงานก็หยุดชะงัก ลองหาเพลงที่เข้ากับสไตล์ของตัวเองหรือเพลงที่ฟังแล้วสนุกสนาน ทำให้ตื่นตัวเปิดฟังระหว่างทำงานไปด้วย จะทำให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น แต่อย่ามันส์มากจนลืมทำงานล่ะ
6. ลุกขึ้นเดินไปเดินมา การนั่งอยู่กับที่ร่วมหลายชั่วโมงทำให้เมื่อยและง่วงแบบสุดๆ ลองลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำ หรือเดินยืดเส้นยืดสายสักหน่อย ให้ร่างกายได้ตื่นตัว
7. หา Snack หรือของขบเคี้ยว ในที่นี้ถ้าหากว่าใครกลัวน้ำหนักจะขึ้นล่ะก็ ลองหาผลไม้หรือ Snack non-fat ติดโต๊ะทำงานไว้สักหน่อยก็ไม่เลว ถ้าหากว่าไม่อยากหยิบขนมเข้าปากบ่อยๆ ลองเปลี่ยนเป็นเคี้ยวหมากฝรั่งๆ เพลินๆ ทำให้ลืมง่วงได้
แต่ถ้าทำทุกอย่างให้ไม่ได้ผลจริงๆ ลองลุกไปล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำเย็นๆ ให้ร่างกายได้ตื่นตัวสักหน่อยก็จะโอเคขึ้น
ขอขอบคุณ
ตำนานพระ2
เคล็ดลับทำงานดีมีความสุข
สาวๆ หนุ่มๆ ชาวออฟฟิศหลายคน เช้ามาก็กาแฟหนึ่งแก้ว ตกบ่ายๆ ง่วงๆ อาจจะมีเบิ้ลอีกแก้ว หรือถ้าคืนนั้นต้องอยู่ทำโอที หรือเตรียมพรีเซนต์จนดึกดื่น อาจจะมีแก้วที่สาม แถมยังขาดไม่ได้เลยสักวันอีกต่างหาก...
6 เคล็ดลับดื่มกาแฟอย่างไรโดยไม่เสียสุขภาพ
สาวๆ หนุ่มๆ ชาวออฟฟิศหลายคน เช้ามาก็กาแฟthumbnailแก้ว ตกบ่ายๆ ง่วงๆ อาจจะมีเบิ้ลอีกแก้ว หรือถ้าคืนนั้นต้องอยู่ทำโอที หรือเตรียมพรีเซนต์จนดึกดื่น อาจจะมีแก้วที่สาม แถมยังขาดไม่ได้เลยสักวันอีกต่างหาก เชื่อว่าทุกคนทราบดีว่าการดื่มกาแฟมากเกินไปเป็นผลเสียต่อร่างกายนะครับ ทั้งนอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หรือที่บางคนเกิดอาการมือสั่น ใจสั่นแล้วยังทำให้ผู้ป่วยโรคหัวใจและความดันโลหิตสูงมีอาการมากขึ้นอีกด้วย
แต่ถ้าคุณเป็นคอกาแฟตัวยงจริงๆ ไม่อาจหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟได้เลย PhoonZone.com มีวิธีดื่มกาแฟอย่างไรให้ไม่เสียสุขภาพมาฝากกันครับ
- เลือกกาแฟที่มีคุณภาพสูง
บางคนอาจไม่ทราบว่ากาแฟถือเป็นหนึ่งในพืชที่มีการใช้ยาฆ่าแมลงในการเพาะปลูกมากที่สุดชนิดหนึ่งเลยนะครับ เพราะฉะนั้นเราเลือกกาแฟคุณภาพสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่เป็นออแกนิก แล้วล่ะก็ นอกจากเราจะหลีกเลี่ยงสารตกค้างจากยาฆ่าแมลงได้แล้ว เรายังได้โบนัสคือกลิ่นและรสชาติที่ดีกว่าอีกด้วย
- เลือกเครื่องทำกาแฟคุณภาพสูง
หากน้ำร้อนจากการชงกาแฟไหลผ่านเครื่องทำกาแฟที่ทำจากพลาสติก อาจทำให้สารเคมีจากพลาสติกไหลลงไปผสมในกาแฟได้ และการรับสารเคมีประเภทนี้มากๆ จะทำให้ระบบฮอร์โมนของคุณผิดปกติ เพราะฉะนั้นหากคุณเลือกเครื่องทำกาแฟแบบเอสเพรสโซ๋ที่มีคุณภาพสูง ผ่านการรับรองความปลอดภัยเรียบร้อย คุณก็หมดกังวลเรื่องนี้ไปได้เลยครับ
- เลือกดื่มให้ถูกเวลา
เวลาที่ดื่มกาแฟควรเลือกเป็นช่วงก่อน 14.00 น. ถ้าดื่มหลัง 14.00 น. อาจทำให้ร่างกายมีปัญหานอนไม่หลับ และพยายามเลือกกาแฟที่มีเบสเป็นเอสเพรสโซ่ เช่น อเมริกาโน่ คาปูชิโน่ หรือลาเต้ แทนกาแฟปกติ หรือแบบ 3-in-1 เพราะจะมีปริมาณคาเฟอีนและน้ำตาลน้อยกว่า
- เลือกดื่มพร้อมกับทานอาหารที่ดี
ชาวอังกฤษเขายังมี Afternoon Tea พร้อมของว่างน่าทาน ไม่ได้มีเพียงเพราะสวยๆ เก๋ๆ หรอกนะ แต่มันมีประโยชน์ด้วย การดื่มกาแฟกับอาหารที่มีโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต อาหารหรือของว่างเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายค่อยๆ รับคาเฟอีนช้าลง ทีละเล็กทีละน้อย และนานขึ้นโดยที่เราไม่ต้องอัดเข้าไปอีกหลายๆ แก้ว รู้อย่างนี้แล้วคราวหน้าลองจิบกาแฟไปพร้อมๆ กับไข่สักฟอง คุ๊กกี้สักชิ้น หรือแซนวิชสักห่อก็ไม่เลวนะ
- เลือกดื่มกาแฟก่อนออกกำลังกาย
ถ้าอยากออกกำลังกายเพื่อทะลายไขมันละก็ ลองจิบกาแฟก่อนสักเล็กน้อยดูสิ นอกจากจะช่วยเผาผลาญไขมันได้เร็วขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้สูงขึ้นอีกด้วย
- เลือกดื่มกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ครีมเทียม หรืออื่นๆ ดีที่สุด
ถ้าคุณติดกาแฟมากจริงๆ อยากให้ลองดื่มกาแฟดำที่ไม่ใส่น้ำตาล ครีมเทียม นม หรืออื่นๆ แล้วดื่มในปริมาณน้อยๆ พอ จิบช้าๆ ให้พอรู้สึกตื่น เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้ทานกาแฟแล้วจะง่วงหงาวหาวนอน ไม่สดใส หรือใครที่ติดคาเฟอีนอาจมีอาการมือสั่น กระวนกระวาย หงุดหงิดได้ ลองดื่มแค่วันละแก้ว และจิบช้าๆ ดูนะครับ
ถึงแม้กาแฟจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่เราก็อยากแนะนำให้ดื่มน้อยๆ ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องดื่มทุกวัน ถ้าง่วงก็เปลี่ยนมานอนให้เร็วขึ้น หรือหาผลไม้สดทานเพื่อเพิ่มความสดชื่นแจ่มใสในตอนเช้าจะดีกว่านะครับ
ขอขอบคุณ
ข้อมูล: www.harpersbazaar.com