Article Old
เป็นโขดหินรูปร่างประหลาด โดยหินตาเป็นหินแกรนิตที่มีลักษณะเหมือนอวัยวะเพศชายที่เกิดจากการกัดเซาะโดยน้ำทะเล สายลม และแสงแดด ส่วนหินยายมีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศหญิง เกิดจากการผุกร่อนของหน้าผาชายฝั่งทะเล....
หินตาหินยาย
เกาะสมุย…สวรรค์แห่งอ่าวไทย ที่ครองใจคนทั่วโลก เกาะสมุย สรวงสวรรค์ของคนรักท้องทะเล หาดทราย และแสงแดด ดินแดนที่ผู้คนจากทั่วโลกต้องการเดินทางมาสักครั้งหนึ่งของชีวิต แล้วเพราะอะไรทำไมเกาะสมุยแห่งนี้ถึง...
เกาะสมุย…สวรรค์แห่งอ่าวไทย ที่ครองใจคนทั่วโลก
เกาะสมุย…สวรรค์แห่งอ่าวไทย ที่ครองใจคนทั่วโลก
เกาะสมุย สรวงสวรรค์ของคนรักท้องทะเล หาดทราย และแสงแดด ดินแดนที่ผู้คนจากทั่วโลกต้องการเดินทางมาสักครั้งหนึ่งของชีวิต แล้วเพราะอะไรทำไมเกาะสมุยแห่งนี้ถึงเป็นที่สนใจของคนทั้งโลก เพราะอะไรที่แห่งนี้ถึงได้ชื่อว่า อัญมณีฝั่งตะวันออก
เกาะสมุยได้รับการกล่าวขานว่างามดั่งสวรรค์กลางอ่าวไทยหรืออัญมณีฝั่งตะวันออก สาเหตุก็เพราะว่าหาดทรายของเกาะมีสีขาวละเอียดโดยเฉพาะเมื่อแสงแดดสาดส่องจะให้ความสวยงามเป็นอย่างมากนอกจากนี้ตัวเกาะยังมีต้นมะพร้าวสูงชะลูดเป็นทิวเลียบเลาะริมฝั่งตลอดแนว โดยหาดที่ได้รับความนิยมอย่างหาดเฉวง ที่ตัวหาดทอดตัวเป็นวงโค้งสวยงามน้ำทะเลใส นอกจากนี้ตัวเกาะยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทั้ง โรงแรมหรู ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร อีกทั้งยามค่ำคืนก็จะเต็มไปด้วยสีสันของแหล่งบันเทิง และยังเป็นศูนย์กลางแห่งกิจกรรมต่างๆ อีกมากมายทำให้ใครก็ตามที่ได้มาหรือแสวงหาความงดงามของธรรมชาติจะต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิต
เกาะสมุย เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับการจัดตั้งขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ.116 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2440
- ประวัติเกาะสมุย
- ที่ตั้งของเกาะสมุย
- สถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของเกาะสมุย
- 3 เหตุผลที่อาศัยอยู่ในเกาะสมุยนั้นยอดเยี่ยม
แหล่งที่มา:
ชาติไทยมีพระเจ้าแผ่นดิน ปกครองสืบต่อกันมาช้านาน พระเจ้าแผ่นดินทรงรับผิดชอบดูแล และคุ้มครองประชาชนให้มีความสุข เมื่อบ้านเมืองเกิดศึกสงคราม พระองค์ทรงสู้รบและชนะข้าศึก เพื่อชาติไทยจะได้ไม่เป็นเมือง.....
มหาราชในประวัติศาสตร์ไทย
มหาราชในประวัติศาสตร์ไทย
ชาติไทยมีพระเจ้าแผ่นดิน ปกครองสืบต่อกันมาช้านาน พระเจ้าแผ่นดินทรงรับผิดชอบดูแล และคุ้มครองประชาชนให้มีความสุข
เมื่อบ้านเมืองเกิดศึกสงคราม พระองค์ทรงสู้รบและชนะข้าศึก เพื่อชาติไทยจะได้ไม่เป็นเมืองขึ้นของชาติอื่น แต่บางคราวบ้านเมืองเราอ่อนแอ เราก็ตกเป็นเมืองขึ้น แต่พระเจ้าแผ่นดินของเราก็ทรงพยายามหาทางแก้ไขจนเราได้เอกราชคืนมา
พระเจ้าแผ่นดินทรงดูแลทุกข์สุขของประชาชน เหมือนพ่อดูแลลูก พระองค์ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า และมีความมั่นคงทุกด้าน
พระเจ้าแผ่นดินหลายพระองค์ ทรงคุณ และทรงทำประโยชน์แก่ชาติไทย อย่างสุดที่จะพรรณนาได้ ประชาชนจึงพร้อมใจกันยกย่องและถวายพระนามพระองค์ว่า "มหาราช" หมายความว่า ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่
พระมหากษัตริย์ไทยบางพระองค์ ที่ประชาชนถวายพระนามว่า "มหาราช" นั้น ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอัน ยังประโยชน์อย่างเยี่ยมยอดแก่ชาติไทย เช่น ได้ทรงกอบกู้อิสรภาพ ทรงปกครองช่วยเหลือประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุข ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ และทรงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทยให้วัฒนาถาวร ดังจะขอยกตัวอย่างมหาราชของไทยในกาลเวลาที่ล่วงมาแล้วบางพระองค์ เช่น
แหล่งที่มา:
มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
แต่ละจังหวัดในประเทศไทย ได้มีแม่น้ำไม่ทุกจังหวัด แต่ก็สามารถเกื้อหนุนการทำมาหากินกันได้อย่างเพียงพอ โดยที่แม่น้ำสามารถกำเนิดขึ้นมาเองได้โดยธรรมชาติ เช่น จังหวัดชลบุรี สมัยก่อนไม่เคยมีแม่น้ำไหลผ่าน....
รายชื่อแม่น้ำในประเทศไทย
รายพระนามพระมหากษัตริย์ไทยในกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 10 (List of Thai Kings in Rattanakosin From the reign of King Rama 1 to the reign of King Rama 10)
รายพระนามพระมหากษัตริย์ไทยในกรุงรัตนโกสินทร์
รายพระนามพระมหากษัตริย์ไทยในกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (Phrabat Somdet Phra Paramoruracha Maha Chakri Borommanat Phra Buddha Yodfa Chulaloke [Rama I]): พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศร ตรีภูวเนตรวรนารถนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัยสมุทัยดโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทรปรมาธิเบศร โลกเชฎวิสุทธิ์ รัตนมงกุฎประกาศ คตามหาพุทธางกูรบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว; ใช้อักษรย่อว่า “จปร : มหาจักรีบรมนาถ ปรมราชาธิราช” ครองราชย์ 27 ปี (พระชนมายุ 73 พรรษา) การลงพระปรมาภิไธยในเอกสารราชการ: มหาจักรีบรมนาถ ป.ร. | |
รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (Phrabat Samdet Phra Boromratchapongchet Mahetsawarasunthon Phra Buddha Loetla Nabhalai [Rama II]): พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศ ตรีภูวเนตรวรนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทัยดโรมนต์ สากลจักรวาฬาธิเบนทร สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทราธาดาธิบดี ศรีวิบูลยคุณอกนิษฐ ฤทธิราเมศวรมหันตอกนิษฐ ฤทธิราเมศวรมหันต บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชชัย พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภูมิทรปรมาธิเบศโลกเชษฐวิสุทธิ รัตนมกุฎประกาศ คตามหาพุทธางกูรบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว; ใช้อักษรย่อว่า “อปร : มหาอิศรสุนทร ปรมราชาธิราช” ครองราชย์ 15 ปี (พระชนมายุ 57 พรรษา) การลงพระปรมาภิไธยในเอกสารราชการ: มหาอิศรสุนทร ป.ร. | |
รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (Phrabat Somdet Phra Paramathiworaset Maha Jessadabodindra Phra Nangklao Chao Yu Hua [Rama III]): พระบาทสมเด็จพระปรมาธิวรเสรฐ มหาเจษฎาบดินทร์ สยามินทรวิโรดม บรมธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบพิตร พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว; ใช้อักษรย่อว่า “จปร : มหาเจษฎาบดินทร ปรมราชาธิราช” ครองราชย์ 27 ปี (พระชนมายุ 64 พรรษา) การลงพระปรมาภิไธยในเอกสารราชการ: มหาเจษฎาบดินทร ป.ร. | |
รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (Phrabat Somdet Phra Paramenthra Maha Mongkut Phra Chom Klao Chao Yu Hua [Rama IV]): พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎสุทธิ สมมุติเทพยพงศวงศาดิศรกษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธิเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวราชรามวรังกูร สุจริตมูลสุสาธิตอุกฤษฐวิบูลย บุรพาดูลยกฤษฎาภินิหารสุภาธิการรังสฤษดิ ธัญญลักษณ วิจิตรโสภาคสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณตบาทบงกชยุคคล ประสิทธิสรรพสุภผลอุดม บรมสุขุมาลยมหาบุรุษยรัตน ศึกษาพิพัฒนสรรพโกศล สุวิสุทธิวิมลศุภศีลสมาจารย์ เพ็ชรญาณประภาไพโรจน์ อเนกโกฎิสาธุ คุณวิบุลยสันดาน ทิพยเทพวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์เอกอัครมหาบุรุษสุตพุทธมหากระวี ตรีปิฎกาทิโกศล วิมลปรีชามหาอุดมบัณฑิต สุนทรวิจิตรปฏิภาณ บริบูรณ์คุณสาร สัสยามาทิโลกยดิลกสาร สัสยามาทิโลกยดิลก มหาปริวารนายกอนันต์ มหันตวรฤทธิเดชอนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพพิเศษ สิรินธรมหาชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเศกาภิษิต สรรพทศทิศวิชิตวิไชย สกลมไหศวรินมหาสยามินทร มเหศวรมหินทร มหาราชาวโรดมบรมนารถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อุกฤษฐศักดิอัครนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาลมหารัษฎาธิเบนทร ปรเมนทรธรรมมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบรมบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว; ใช้อักษรย่อว่า “มปร : มหามงกุฎ ปรมราชาธิราช” ครองราชย์ 17 ปี (พระชนมายุ 63 พรรษา) การลงพระปรมาภิไธยในเอกสารราชการ: มงกุฎ ป.ร. หรือ สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎฯ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม | |
รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (Phrabat Somdet Phra Paraminthra Maha Chulalongkorn Phra Chulachomklao Chao Yu Hua [Rama V]): พระบามสมเด็จพระปรมิทรมหาจุฬสลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฎ บุรุษรัตนราชรวิวงศ์ วรุฒมพงษ์บรพัตร วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาตสังสุทธเคราะหณีจักรีบรมนาถ อดิศวรราชรามวรังกูร สุภาธิการรังสฤษฏ์ ธัญลักษณวิจิตโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภ ผลอุดมบรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยวิเศษ สรพรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญาพินิตประชานาถเปรมกระมลขัติยราชประยูร มูลมุขราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์มหันตวรฤทธิเดช สรรวิเศษสิรินทร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิ์วรยศ มโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกกาภิสิต สรรพทศทิศวิชิตไชย สกลมไหสวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรามหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติ อาชาวศรัย พุทธาธิไตยรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร์ ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตรพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว; ใช้อักษรย่อว่า “จปร : มหาจุฬาลงกรณ ปรมราชาธิราช” ครองราชย์ 42 ปี (พระชนมายุ 57 พรรษา) การลงพระปรมาภิไธยในเอกสารราชการ: จุฬาลงกรณ์ ป.ร. หรือ สยามมินทร์ | |
รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (Phrabat Somdet Phra Paramenthra Maha Vajiravudh Phra Mongkut Klao Chao Yu Hua [Rama VI]): พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาวชิรวุธ เอกอรรคมหาบุรุษบรมนราธิราช พินิตประชานาถมหาสมมตวงศ์ อดิศัยพงศ์วิมลรัตน์วรขัตติราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาตสังสุทธเคราะหณีจักรีบรมนาถ จุฬาลงกรณราชวรางกูร บรมมกุฏนเรนทร์สูรสันตติวงศ์วิสิฐ สุสาธิตบุรพาธิการ อดุลยกฤษฎาภินิหาร อดิเรกบุญฤทธิ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพวงค์ มหาชโนตมางตประณตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดม บรมสุขุมาลย์ทิพยเทพาวตาร ไพศาลเกียรติคุณ อดุลยวิเศษสรรพเทเวศรานุรักษ์ บริมศักดิสมญาเทพวาราวดี ศรีมหาบุรุษสุดสมบัติ เสนางคนิกรรัตนอัศวโกศลประพนธปรีชา มัทวสมาจาร บริบูรณคุณสารสยามาทินค รวรุตเมกราชดิลก มหาปริวารนายอนันต์มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษศิรินธรบรมชนกาดิศรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษฏาภิสิต สรรพทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัยพุทธาธิไตรรัตนสรณารักษ์อดุลยศักดิ์ อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณา สีตลหฤทัย อโนมัยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร์ ปรเมนทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว; ใช้อักษรย่อว่า “วปร : มหาวชิราวุธ ปรมราชาธิราช” ครองราชย์ 15 ปี (พระชนมายุ 45 พรรษา) การลงพระปรมาภิไธยในเอกสารราชการ: วชิราวุธ ป.ร. หรือ ราม วชิราวุธ หรือ ราม ร | |
รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (Phrabat Somdet Phra Paraminthra Maha Prajadhipok Phra Pok Klao Chao Yu Hua [Rara VII]): พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก มหันตเดชนดิลกรามาธิบดี เทพยปรียามหาราชรวิวงศ์ อสัมภินพงศพีระกษัตรบุรุษรัตนราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาตสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถจุฬาลงกรณราชวรางกูร มหมกุฏวงศวีรสูรชิษฐ ราชธรรมทศพิธ อุต์กฤษฎานิบุณย์อดุลยฤษฎาภินิหาร บูรพาธิการสุสาธิต ธันยลักษณ์วิจิตรเสาวภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคมานทสนธิมตสมันตสมาคม บรมราชสมภาร ทิพยเทพวตารไพศาลเกียรติคุณ อดุลยศักดิเดช สรรพเทเวศปริยานุรักษ์ มงคลลคนเนมาหวัยสุโขทัยธรรมราชา อภิเนาวศิลปศึกษาเดชาวุธ วิชัยยุทธศาสตร์โกศล วิมลนรรยพินิต สุจริตสมาจาร ภัทรภิชญาณประดิภานสุนทรประวรศาสโนปสุดมภก มูลมุขมาตยวรนายกมหาเสนานี สราชนาวีพยูหโยธโพยมจร บรมเชษฏโสทรสมมต เอกราชยยศสธิคมบรมราชสมบัติ นพปฏลเศวตฉัตราดิฉัตร ศรีรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิศิกต์ สรรพทศทิศวิชิตเดโชไชย สกลมไหศวรยมหาสยามินทรมเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาตอาชาวศรัย พุทธาธิไตรรัตนวิศิษฎศักดิ์อัครนเรศวราธิบดี เมตตากรุณาศีตลหฤทัย อโนปไมยบุณยการ สกลไพศาลมหารัษฏราธิบดินทร์ ประมินทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว; ใช้อักษรย่อว่า “ปปร : มหาประชาธิปก ปรมราชาธิราช” ครองราชย์ 9 ปี (พระชนมายุ 47 พรรษา) การลงพระปรมาภิไธยในเอกสารราชการ: ประชาธิปก ป.ร. | |
รัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (Phrabat Somdet Phra Paramenthra Maha Ananda Mahidol [Rama VIII]): พระบาทสมเด็จพระปรเมนมหา อานันทมหิดลสกลไพศาลมหารัษฎาธิบดี พระอัฐมรามาธิบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร (ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2539 ทรงได้รับการสถาปนาพระบรมอัฐิ เฉลิมพระนามเป็น พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลอดุลยเดช วิมลรามาธิบดี จุฬาลงกรณราชปรียวรนัดดา มหิตลานเรศวรางกูร ไอศูรยสันตติวงศวิสุทธ์ วรุตมขัตติยศักตอรรคอุดมจักรีบรมราชวงศนิวิฐ ทศพิธราชธรรมอุกฤษฎนิบุณ อดุลยกฤษฎาภินิการรังสฤษฎ์ สุสาธิตบูรพาธิการ ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์อดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ ธัญอรรคลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมงคประณตบาทบงกชยุคล อเนกนิกรชนสโมสรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร สรรพรัฐทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวไศรย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ วิศิษฎศักตอัครนเรศรามาธิบดี พระอัฐมราะบดินทร สยามินทราธิราชบรมนาถบพิตร; ใช้อักษรย่อว่า “อปร : มหาอานันทมหิดล ปรมราชาธิราช” ครองราชย์ 12 ปี (พระชนมายุ 20 พรรษา) การลงพระปรมาภิไธยในเอกสารราชการ: อานันทมหิดล | |
รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (Phrabat Somdet Phra Paraminthra Maha Bhumibol Adulyadej [Rama IX]): พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร; ใช้อักษรย่อว่า “ภปร : มหาภูมิพลอดุลยเดช ปรมราชาธิราช” ครองราชย์ 70 ปี (พระชนมายุ 88 พรรษา) การลงพระปรมาภิไธยในเอกสารราชการ: ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. | |
รัชกาลที่ 10 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณ์อดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (Phrabat Somdet Phra Paramethra Ramathibodhi Srisindra Maha Vajiralongkorn Phra Vajira Klao Chao Yu Hau [Rama X]); ใช้อักษรย่อว่า “วปร : มหาวชิราลงกรณ ปรมราชาธิราช” ครองราชย์ ถึงปัจจุบัน การลงพระปรมาภิไธยในเอกสารราชการ: มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร | |
แหล่งที่มา:
https://bpp41.sru.ac.th/
https://lifestyle.campus-star.com/
https://king.kapook.com/
ยอดเขาคิชฌกูฏมีรอยพระพุทธบาทซึ่งเป็นที่เรียกกันทั่วไปว่า พระบาทเขาคิชฌกูฏ หรือพระบาทพลวง ตั้งอยู่ที่ตำบลพลวง กิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฏ ห่างจากตัวจังหวัดทางทิศเหนือประมาณ 40 กิโลเมตร เป็นที่ประดิษฐานของ.....
พระบาทเขาคิชฌกูฏ หรือ พระบาทพลวง
เขาคิชฌกูฏ
ยอดเขาคิชฌกูฏมีรอยพระพุทธบาทซึ่งเป็นที่เรียกกันทั่วไปว่าพระบาทเขาคิชฌกูฏ หรือพระบาทพลวง ตั้งอยู่ที่ตำบลพลวง กิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฏ ห่างจากตัวจังหวัดทางทิศเหนือประมาณ 40 กิโลเมตร เป็นที่ประดิษฐานของรอยพระพุทธบาทที่อยู่สูงที่สุดในประเทศไทย สูงกว่า 1,050 เมตร จากระดับน้ำทะเล ถือว่าสูงที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ "รอยพระพุทธบาท" มีลักษณะเป็นรอยบนหินแผ่นใหญ่ มีรอยลึกประมาณ 2 เมตรเศษ กว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร ค้นพบที่ยอดเขาพระบาทจากที่ทำการอุทยานเขาคิชฌกูฏราว 4 กิโลเมตร
ตำนานรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ
พระครูธรรมสรคุณ เจ้าอาวาสวัดกระทิง และเป็นเจ้าคณะอำเภอมะขาม ผู้สืบค้นประวัติเขาคิชฌกูฏ กล่าวไว้โดยย่อว่า เมื่อ พ.ศ.2397 นายติ่งและคณะได้พากันขึ้นไปบนเขาหาไม้กฤษณา ไม้กะลำพักมาขาย ต้องขึ้นไปพักอยู่บนเขาเป็นเวลาหลายวัน และได้ไปพักเหนื่อยบนลานหินกว้างใหญ่ เพื่อนของนายติ่งคนหนึ่งได้ถอนหญ้าเพื่อนอนพัก ก็พบแหวนใหญ่ขนาดสวมหัวแม่เท้าได้ และเมื่อช่วยกันตรวจดูก็พบหินแผ่นหนึ่ง มีพื้นที่เป็นรอยรูปก้นหอยต่อมานายติ่งและเพื่อนได้นำบุตรชายไปอุปสมบทที่วัดพลับ อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี รุ่งขึ้นก็มีงานเทศกาลปิดรอยพระพุทธจำลอง นายติ่งจึงซื้อทองไปปิดรอยพระพุทธบาทนั้น เมื่อปิดแล้วจึงพูดขึ้นว่ารอยพระพุทธบาทเช่นนี้ทางบ้านผมก็มีเหมือนกัน พอดีมีพระได้ยินเข้าจึงไปเรียนให้เจ้าอาวาสวัดพลับ (หลวงพ่อเพชร) ทราบ ขณะนั้นหลวงพ่อดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี จึงเรียกนายติ่งมาสอบถาม แล้วพาคณะขึ้นไปพิสูจน์ดู ก็เป็นความจริง และตรวจดูตามบริเวณนั้นทั่วๆ ไปก็พบสิ่งแปลกประหลาดและสิ่งมหัศจรรย์หลายอย่าง รอยพระพุทธบาทนั้นท่านทรงเหยียบจารึกไว้ที่ศิลาแผ่นใหญ่ บรรจุคนนั่งได้เป็นร้อยกว่าคนบนยอดเขาสูงสุดกว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรอยพระพุทธบาทมีหินกลมก้อนหนึ่งใหญ่มาก เรียกกันว่า หินลูกพระบาท ตั้งขึ้นมาน่าแปลกมหัศจรรย์เป็นอย่างมากไม่น่าจะตั้งอยู่ได้ มองดูคล้ายลอยอยู่เฉยๆ มีคนกล่าวว่าเขาเคยเอาด้ายสายสิญจน์คล้องแล้วหลุดมาได้
"เขาคิชฌกูฏ" ที่เรียกเช่นนี้ก็เพราะมีชื่อเขาในกรุงราชคฤห์ในประเทศอินเดียลูกหนึ่ง ชื่อว่าเขาคิชฌกูฏ ฟังแล้วคล้ายๆ กับว่าได้ไปยังนครราชคฤห์อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์ครั้งปฐมโพธิกาลโน้นและการไปมาก็ไม่สู้ไกลนัก นึกไปว่าปีหนึ่งเรายังได้มีโอกาสไปนมัสการรอยพระพุทธบาทหนึ่งครั้ง ในตำนานศาสนาพุทธกล่าวไว้ว่า เขาคิชฌกูฏอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงราชคฤห์ซึ่งเป็นเมืองหลวงสมัยก่อนนั้น (อินเดีย) แปลว่าภูเขาแร้งกระพือปีก มีคันธกุฎีอยู่บนยอดเขา และเคยเป็นสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าในอดีต เป็นความดำริของพระครูธรรมสรคุณซึ่งเป็นกรรมการและเป็นหลักในการพัฒนาพระบาทพลวงตั้งแต่ พ.ศ.2515 ได้เสนอใช้ชื่อพระบาทเขาคิชฌกูฏ (พลวง) เหตุผลเพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธศาสนาเจริญกว่าเมืองไหนๆ แม้กระทั่งประเทศอินเดีย จึงน่าจะใช้ชื่อนี้เป็นที่ระลึกถึงพระบรมศาสดา
โดยสภาพภูมิประเทศคล้ายคลึงและบนยอดเขามีสิ่งศกดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวกับพระพุทธองค์ คือ รอยพระพุทธบาท และหินลูกบาตร ที่ตั้งข้างรอยพระพุทธบาท อยู่ในลักษณะคล้ายลอยอยู่ริมลานพระพุทธบาทฝั่งตรงข้ามหินลูกบาตรมีรอยพระหัตถ์ไปรับหินก้อนนี้ และในหินก้อนนี้ ตรงข้ามกันรอยพระหัตถ์ มีรูปรอยเท้าใหญ่ (รอยเท้าพญามาร) ใต้พระบาทมีถ้ำตาฤาษี
จึงน่าจะใช้ชื่อนี้เป็นที่ระลึกถึงพระบรมศาสดา ในทุกๆ ปีจะมีพิธีเปิดและพิธีปิดการขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ พระครูธรรมสรคุณ ยังได้สอนว่า "เท้าของพระพุทธองค์ แม้ประดิษฐานอยู่แห่งหนตำบลใดก็ตาม ถ้าเรามีความเชื่อมั่น เคารพกราบไหว้ด้วยใจ อธิษฐานแล้ว ย่อมเกิดผลสำเร็จแก่ผู้นั้นทุกคนและเป็รสิริมงคลแก่ผู้นั้นตลอดไป"
แต่ต้องตั้งจิตอธิษฐานให้ดี ปราถนาสิ่งใดที่ดีที่ชอบขอได้ตามความพอใจ กลับไปจะมีแต่ความปลอดภัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและเทพยดาที่รักษารอยพระพุทธบาทแห่งนี้ จะอำนวยอวยพรให้ท่านได้รับแต่ความสขตามสมบูรณ์พูลผล ร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป
ซึ่งผู้อยากจะขึ้นไปสักการะบูชาสิงศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขานั้นจะต้องมีจิตศรัทธาที่แรงกล้า เนื่องจากต้องเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขาอีกราว 3 กม. ท่ามกลางผู้คนที่มีศรัทธาเดียวกันมากมายที่เบียดเสียด เพราะการจะขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาท เขาคิชฌกูฏ จะเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี หรือช่วงช่วงประมาณปลายเดือนมกราคม - เดือนมีนาคม หรือแค่ประมาณ 2 เดือนต่อปีเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากพุทธศาสนิกชนมากมายจากหลายที่ต่างถิ่น จะพร้อมใจกันมาสักการะบูชาแผ่นหินซึ่งเชื่อว่าประทับรอยพระพุทธบาทไว้ จะได้อานิสงส์แรงกล้า เปรียบได้กับการได้เข้าเฝ้าองค์พระศาสดาถือเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่
ปัจจุบันได้มีการจัดเดินป่าขึ้นยอดเขาคิชฌกูฏ เพื่อไปสักการะบูชารอยพระพุทธบาทจนกลายเป็นงานประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมานาน โดยมีความเชื่อว่าจะได้บุญสูง และเป็นการฝึกจิตใจให้มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ในอดีตจะเป็นการเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขา แต่ในปัจจุบันมีรถบริการให้ประชาชน ได้เดินทางขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น
แหล่งที่มา:
www.mcot.net/
www.sanook.com/
www.thairath.co.th/
เกาะแรต เกาะเล็กๆ กลางทะเลอ่าวไทย ใกล้ชายฝั่งอำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี สถานที่พักผ่อนชิลๆ กับท้องทะเลและชุมชนชาวประมงแบบพื้นฐาน เดินเล่นสะพานริมทะเลชมพระอาทิตย์ตกดิน
เกาะแรต เกาะจิ๋วแต่แจ๋ว แหล่งวิถีชีวิตชาวเล สุราษฎร์ธานี
เกาะแรต เกาะจิ๋วแต่แจ๋ว แหล่งวิถีชีวิตชาวเล สุราษฎร์ธานี
ชุมชนบ้านเกาะแรต เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ในอ่าวบ้านดอน จากคำบอกเล่าเมื่อประมาณ 200 กว่าปี ได้มีชาวจีนอพยพมาจากเกาะไหหลำ ประเทศจีน โดยใช้เรือสำเภาขนาดใหญ่และขนาดเล็กเป็นพาหนะในการเดินทาง มีชาวจีนกลุ่มหนึ่งประมาณ 60 คน ใช้เรือสำเภาประมาณ 10 ลำ แวะพักที่เกาะเล็กๆ แห่งนี้ และได้สำรวจดูความเหมาะสมเพื่อใช้เป็นที่พักพิงทำมาหากิน มีเกาะแก่งมากมายสภาพคล้ายบ้านเกิดที่ประเทศจีน ชาวจีนจึงตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และยึดอาชีพการประมงทั้งหมู่บ้านจนถึงปัจจุบัน
เกาะแรต มาจากคำว่า "แรด" ที่สะกดด้วย ด ที่หมายถึงชื่อสัตว์ ชาวจีนได้ขนานนามเกาะแห่งนี้ว่า "ฮีเด้ง" หมายถึง ตะเกียงสวรรค์ และต่อมาชาวจีนเขียนด้วย "ต" สะกดแทน "ด" นอกจากนี้ยังมีการสันนิษฐานได้ว่าบริเวณเกาะมีต้นขี้แรดมาก จึงได้ชื่อว่า "เกาะแรต" ดังคำบอกเล่าของชาวบ้านว่ามาจากต้นขี้แรดที่มีอยู่ในชุมชน
สมัยก่อนการเดินทางการเดินทางต้องนั่งเรือมาจากฝั่งระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ในปัจจุบันมีสะพานข้ามชื่อว่า "สะพานเฉลิมสิริราช" เป็นสะพานข้ามทะเล หนึ่งในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อน ให้มีเส้นทางคมนาคม
ชุมชนบ้านเกาะแรต อยู่ในทำเลที่มีทิวทัศน์ที่สวยงาม มีเส้นทางเดินชมธรรมชาติ ชมวิถีชีวิตของชาวบ้าน และมีบริการโฮมสเตย์เล็กๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว หากมองรอบๆ เกาะทางด้านซ้ายมือจะมองเห็นทางฝั่งวัดเขาสุวรรณประดิษฐ์ แหลมทวด หาดวังหิน ท่าเรือเอนกประสงค์ และทางฝั่งขวามือของเกาะจะเป็นท่าเรือเฟอร์รี่ มีเส้นทางชมวิวสำหรับดูปลาโลมาที่มาเล่นน้ำ และดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าหรือพระอาทิตย์ตกตอนเย็น ในช่วงน้ำแห้งสามารถเดินไปยังพื้นที่เกาะแรตได้ และชาวบ้านหลายๆ ท้องที่ จะมาหาหอย กุ้ง ปูเป็นจำนวนมาก หรือเจาะหอยตามโขดหิน
เกาะแรต อยู่ที่ไหน?
เกาะแรต เป็นเกาะขนาดจิ๋วที่มีพื้นที่เพียงน้อยนิด ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งบ้านแหลมลื่น ตำบลดอนสัก อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพียงแค่ราวๆ 500 เมตรเท่านั้น โดยมีสะพานปูนเชื่อมเข้าไปถึงยังตัวเกาะ
รู้จักเกาะแรต
ตามประวัติที่มีผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบต่อกันมาบอกว่า แต่เดิมนั้นเกาะแห่งนี้ไม่มีผู้คน แต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนมีชาวจีนอพยพมาจากเกาะไหหลำแล้วแวะพักที่เกาะแห่งนี้ เมื่อดูว่าเป็นเกาะที่เหมาะสมต่อการตั้งรกราก จึงปักหลักตั้งหมู่บ้านเล็กๆ ขึ้น ปัจจุบันจึงจะเห็นว่าประชากรทั้งหมดบนเกาะร้อยละ 85 เป็นชาวไทยเชื้อสายจีน ส่วนที่เรียกกันว่า เกาะแรต เพราะเรียกตามชื่อต้นไม้ท้องถิ่นที่อยู่บนเกาะที่ชื่อว่า ต้นขี้แรด ซึ่งบนเกาะแรตมีบ้านเรือนอยู่ราวๆ 90 ครัวเรือน ส่วนใหญ่ทำอาชีพประมงพื้นบ้าน มีบางส่วนที่ปรับเปลี่ยนบ้านเรือนให้เป็นโฮมสเตย์ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
มีอะไรรออยู่ที่เกาะแรต
แม้ว่าเกาะแรตจะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ แต่ก็มีความน่าสนใจตรงที่เป็นชุมชนชาวประมงอันเงียบสงบ ชาวบ้านยังคงใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย บนเกาะก็มีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจและมีทัศนียภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม
- สะพานเฉลิมสิริราช เป็นสะพานที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยมีกรมทางหลวงชนบทเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง มีระยะทางประมาณ 500 เมตร เชื่อมระหว่างบ้านแหลมลื่น ตำบลดอนสัก เข้าไปยังเกาะแรต
- เมื่อเข้าไปยังเกาะแรตจะเจอกับ ศาลเจ้าพ่อกวนอู และ ศาลเจ้าแม่ทับทิม เป็นศาลเจ้าไหหลำที่คนบนเกาะให้ความเคารพนับถือมายาวนานนับร้อยปี ด้านบนก็มีศาลเจ้าแม่กวนอิมและศาลเจ้าพ่อเสือ
- พอเลยเข้าไปทางด้านหลังของศาลเจ้าทั้งทางฝั่งซ้ายและขวา ก็จะเป็นบ้านเรือนของชาวบ้าน สร้างแบบพื้นบ้านทั่วไป ตกแต่งมีกลิ่นอายแบบจีนนิดๆ พร้อมทั้งมีร้านค้า ร้านอาหารของชาวบ้าน ตั้งขายสินค้าชุมชนตลอดทางเดิน ทางด้านหลังของเกาะจะเป็นที่ตั้งของโรงเรียนบ้านเกาะแรต
- เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติริมทะเล ที่สามารถนั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกดินได้สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย
- ในชุมชนเกาะแรต มีบริการโฮมสเตย์หลายหลัง ซึ่งแต่ละหลังก็จะมีการให้บริการแตกต่างกันไป แต่ที่ไม่แตกต่างกันมากนักก็คือ อาหารทะเล ที่มักจะจัดเสิร์ฟแบบบุฟเฟต์ สด ใหม่ มีให้กินไม่อั้น แถมด้วยอาหารพื้นเมืองรสเด็ดอีกหลากหลายเมนู
ชุมชนบ้านเกาะแรต เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ในอ่าวบ้านดอน หมู่ที่ 3 ตำบลดอนสัก อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี ชื่อเกาะแรตมาจาก คำว่า "แรด" ที่สะกดด้วย ด ที่หมายถึงชื่อสัตว์ ชาวจีนได้ขนานนามเกาะแห่งนี้ว่า "ฮีเด้ง" ซึ่งหมายถึง ตะเกียงสวรรค์ และต่อมาชาวจีนเขียนด้วย "ต" สะกดแทน "ด" นอกจากนี้ยังมีการสันนิษฐานได้ว่าบริเวณเกาะมีต้นขี้แรดมากจึงได้ชื่อว่าเกาะแรต ดังคำบอกเล่าของชาวบ้านว่ามาจาก ต้นขี้แรดที่มีอยู่ในชุมชน
จากคำบอกเล่าของคนจีนรุ่นเก่ากล่าวว่าก่อนเป็นชุมชนบ้านเกาะแรตในปัจจุบัน เดิมทีบนเกาะแห่งนี้มีชาวมุสลิมอพยพจากนราธิวาส ปัตตานี เข้ามาอาศัยอยู่เป็นพวกแรก ประมาณ พ.ศ.2403 ยึดอาชีพในการทำประมงแถบชายฝั่ง มาถึงเกาะแรตเห็นว่าทำเลแถบนี้มีสัตว์น้ำชุกชุมเหมาะแก่การประกอบอาชีพจึงตั้งบ้านเรือนเป็นหลักแหล่งขึ้น
เกาะแรตอยู่ในทำเลที่มีทิวทัศน์สวย หากมองรอบเกาะทางด้านซ้ายมือจะเห็นทางฝั่งวัดเขาสุวรรณประดิษฐ์ แหลมทวด หาดวังหิน ท่าเรือเอนกประสงค์ ทางฝั่งขวามือของเกาะจะเป็นท่าเรือเฟอร์รี่ มีเส้นทาง ชมวิวที่กำลังก่อสร้างไว้สำหรับดูปลาโลมาเล่นน้ำ และดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าหรือพระอาทิตย์ตกตอนเย็น ในช่วงน้ำแห้งสามารถเดินไปยังพื้นที่เกาะแรตได้ และชาวบ้านหลายๆ ท้องที่จะมาหาหอย กุ้ง ปูเป็นจำนวนมาก หรือเจาะหอยตามโขดหิน
การท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาช่วงที่สร้างสะพานเสร็จ ในปี พ.ศ.2552 ก่อนหน้านั้นคนที่เข้ามา จะมาเยี่ยมญาติในเทศกาลตรุษจีน เยี่ยมก๋ง ในปี พ.ศ.2552 นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาท่องเที่ยวแต่ไม่มากนัก เริ่มแรกจากคนไทยโดยคนในเกาะแรตรู้จักและชักชวนมา ซึ่งในตอนนั้นมีโฮมสเตย์หลังแรกของนายสุทิน แสงทอง ซึ่งอัตราค่าที่พักเป็นราคาที่ไม่แน่นอน โดยจะเฉลี่ยรายคน ต่อมาประมาณ ปี พ.ศ.2553 มีฝรั่งเข้ามาพัก ฝรั่งกลุ่มแรกมาจากเยอรมัน ซึ่งฝรั่งที่เข้ามานั้นมีแฟนอยู่ในเกาะแรตและได้ชักชวนเพื่อนๆ มาท่องเที่ยว ปัจจุบันในชุมชนบ้านเกาะแรต มีโอมสเตย์ทั้งหมด 4 แห่ง นอกจากนั้นในชุมชนบ้านเกาะแรตมีกิจกรรมการท่องเที่ยวหลายรูปแบบด้วยกัน คือ ดูปลาโลมา ซึ่งบนเกาะแรตสามารถมองเห็นปลาโลมาที่ว่ายไปยังบริเวณน้ำทะเลจืดที่หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด (อำเภอขนอม) และกิจกรรมตกปลา เป็นต้น
แหล่งที่มา:
https://www.suratpao.go.th/travel/detail/42/data.html
https://travel.kapook.com/view222223.html
https://travel.trueid.net/detail/kvWlyAD67L51
https://www.suratthanitourism.com/tour/ko-raet/
เจดีย์พระธาตุโบอ่อง อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี บ้านโบอ่อง ตำบลปิล๊อก เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ บ้านโบอ่อง มีสถานที่สำคัญที่คนไทยเชื้อสายมอญ เชื้อสายกะเหรี่ยงและชาว...
เจดีย์พระธาตุโบอ่อง UNSEEN เมืองกาญฯ เกาะซ้อนเกาะ เกาะลับใจกลางทะเลสาบ
เจดีย์พระธาตุโบอ่อง
พิกัด: ตำบลปิล๊อก อำเภออำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี รหัสไปรษณีย์ 71180 (ละติจูด: 14.841537, ลองจิจูด: 98.486871)
ความสำคัญ/ลักษณะ:
เจดีย์พระธาตุโบอ่อง ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เรียกได้ว่าเป็น Unseen อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี เนื่องจากสามารถเดินทางเข้าถึงได้โดยทางเรือเท่านั้นจึงยังไม่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากนัก เจดีย์มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงมอญ ความสูง 6 เมตร ฐานกว้างประมาณ 3x3 เมตร สร้างอยู่บนยอดเขาหินปูนเล็กๆ ที่มีบึงน้ำใหญ่ล้อมรอบในบึงมีบัวขึ้นอยู่รายล้อม และมีนกน้ำนานาชนิดไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเจดีย์พระธาตุโบอ่องสร้างมาตั้งแต่สมัยใดข้างองค์พระธาตุ มีหอระฆังขนาดเล็กที่มีระฆังแขวนอยู่ ชาวบ้านเล่าต่อกันมาว่าเป็นระฆังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานไว้ให้แขวนคู่ กับพระธาตุโบอ่องแห่งนี้
เจดีย์พระธาตุโบอ่อง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่เคารพของชาวบ้านในหมู่บ้าน มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่าครั้งหนึ่ง เคยมีผู้หญิงเดินข้ามสะพานเพื่อขึ้นไปบนยอดเขาทำให้น้ำในบึงที่อยู่บริเวณโดยรอบนั้นเหือดแห้งหายไป จึงเกิดเป็นความเชื่อของชาวบ้าน ที่ต้องออกกฎว่าห้ามผู้หญิงเดินข้ามสะพานเพื่อเข้าสู่เขตพระธาตุโดยเด็ดขาด หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม ก็ว่ากันว่า บุคคลผู้นั้นจะต้องมีอันเป็นไปต่างๆนานา (เป็นเรื่องของความเชื่อโปรดใช้วิจารญาณ) ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ของทุกปี จะมีประชาชนชาวบ้านที่เคารพศรัทธา เดินทางไปนมัสการเจดีย์พระธาตุโบอ่องแห่งนี้เป็นจำนวนมาก
ชาวเชื้อชาติมอญ กะเหรี่ยง พม่า ที่ให้ความเคารพสักการะพระธาตุโบอ่อง มีความเชื่อว่าเป็นบริเวณหวงห้ามของสถานที่แห่งนี้อันเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่สระน้ำที่ล้อมรอบพระเจดีย์ห้ามผู้หญิงเดินข้ามสะพานไปสักการะพระธาตุโบอ่องจะทำให้น้ำในบริเวณพระธาตุโบอ่องแห้งและเกิดสิ่งไม่ดีกับตนเองและหมู่บ้านและจะทำให้น้ำแห้ง เชื่อตามตำนานที่เล่าต่อกันมาว่า ในสมัยก่อนพระพุทธเจ้าเสด็จมาที่พระธาตุโบอ่อง ยักษ์เห็นก็จะกินพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกยักษ์ว่า ถ้าอยากกินก็ให้ไปหาที่นั่งสำหรับให้ท่านเทศน์ก่อน ยักษ์จึงไปนำก้อนหินก้อนใหญ่มาวางให้พระพุทธเจ้าเทศน์ ทำให้บริเวณรอบพระธาตุเกิดเป็นหนองน้ำจากรอยนั่งของยักษ์ เมื่อได้ฟังเทศน์ยักษ์ก็เขี้ยวหักจึงหนีไป ระหว่างที่พระพุทธเจ้าเทศน์เส้นพระเกศาพระพุทธเจ้าหนึ่งเส้นได้ร่วงลงไปในหนองน้ำจึงห้ามผู้หญิงเดินข้ามหนองน้ำ
การเดินทาง: จากจังหวัดกาญจนบุรี เดินทางตามทางหลวงหมายเลข 323 ถึงตลาดทองผาภูมิ จากนั้นใช้ทางหลวง 3272 (ทองผาภูมิ – ปิล๊อก) ไปอีก ประมาณ 6 ก.ม. จนถึงบ้านท่าแพ สามารถติดต่อเช่าเรือได้ที่บ้านท่าแพ ค่าเช่าเรือหางยาว (มีหลังคา) ประมาณลำละ 1,500 บาท นั่งได้ 10 -12 คน ใช้เวลา เดินทางจากบ้านท่าแพ ประมาณ 45-50 นาที
แหล่งที่มา:
https://culturalenvi.onep.go.th/site/detail/2605
https://travel.aerialthailand.com/?p=1110
https://www.ejan.co/general-news/เจดีย์พระธาตุโบอ่อง-unseen-เมืองกาญฯ-เกาะลับใจกลางทะเลสาบ
เชื่อว่าหลายๆ คน คงมีโอกาสไปเที่ยวหาดบางแสน แวะดูลิงที่เขาสามมุข กินอาหารทะเลอร่อยๆ ก่อนกลับบ้าน แต่หลายคนอาจไม่รู้ที่มาของตำนานรักอันลือลั่นที่ได้เล่าขานกันมาสู่รุ่นต่อรุ่นของคนชลบุรี
ตำนานรักอมตะ (ตำนานเจ้าแม่เขาสามมุข) "สามมุข-แสน" ใครผิดคำสาบาน ต้องโดดหน้าผาตายตามกัน
ตำนานรักอมตะ (ตำนานเจ้าแม่เขาสามมุข)
"สามมุข-แสน" ใครผิดคำสาบาน ต้องโดดหน้าผาตายตามกัน
ตามตำนานกล่าวเอาไว้ว่า เมื่อปลายรัชสมัยกรุงศรีอยุธยา ทะเลบางแสน และเขาสามมุข นั้นยังไม่มีชื่อปรากฏ มีเพียงแต่ ตำบลอ่างหิน ซึ่งปัจจุบันก็คือ ตำบลอ่างศิลา มีเจ้าของโป๊ะ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม "กำนันบ่าย" มีลูกชายชื่อว่า "แสน" และห่างออกไปจากตำบลอ่างหิน มียายและหลานสาวอาศัยอยู่ด้วยกันคู่หนึ่ง ซึ่งหลานสาวมีชื่อว่า "สามมุข", "มุก" หรือ "มุข" อาศัยอยู่ เมืองบางปลาสร้อย
มีสาวน้อยชื่อ "มุก" หรือ "มุข" เดิมอาศัยอยู่ที่บางปลาสร้อย (ตัวเมืองจังหวัดชลบุรีในปัจจุบัน) มุกเป็นเด็กกำพร้าด้วยพ่อกับแม่มาตายตั้งแต่ยังเล็ก ยายจึงนำหลานสาวมาเลี้ยงดูอยู่ด้วยกันที่บ้านอ่างหิน ตำบลอ่างศิลา อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี จนมุกโตเป็นสาว เวลาว่างสาวมุกชอบมานั่งเล่นที่เชิงเขาเตี้ยๆ บริเวณอ่างศิลาเป็นประจำ และแล้วในวันหนึ่งพบว่าวตัวหนึ่งขาดลอยมาตกอยู่ต่อหน้าเธอ ฝั่งเจ้าของว่าว คือ "หนุ่มแสน" ลูกชายของกำนันประจำตำบลแห่งนี้ วิ่งตามว่าวมาจึงทำให้ทั้งสองได้พบกัน หนุ่มแสนได้มอบว่าวตัวนั้นให้ไว้เป็นที่ระลึก ภายหลังทั้งสองได้นัดพบกันอีกหลายครั้งจนเกิดเป็นความรัก จนถึงขนาดได้ให้สัตย์สาบานต่อกันที่หน้าเชิงเขานี้ว่า "จะรักกันชั่วนิรันดร์" หากผิดคำสาบานจะกระโดดหน้าผาแห่งนี้ตายตามกัน
ต่อมากำนันพ่อของหนุ่มแสนทราบเรื่องจึงไม่พอใจอย่างมาก กีดกันไม่ให้ทั้งสองได้พบกัน และได้ตกลงให้แสนแต่งงานกับลูกสาวคนทำโป๊ะที่ได้สู่ขอไว้ เมื่อเรื่องถึงหูสาวมุกทำให้เศร้าโศกเสียใจจนคิดสั้น จึงวิ่งไปที่หน้าผาเพื่อกระโดดหน้าผาตายตามคำสาบาน เมื่อแสนรู้เรื่องจึงวิ่งตามไปและกระโดดหน้าผาตายตามคำสาบานเช่นกัน ทำให้พ่อกำนันเสียใจและสำนึกผิดจึงนำเครื่องถ้วยชามต่างๆ มาไว้ในถ้ำบริเวณเชิงเขา เพื่อเป็นที่ระลึกถึงความรักของทั้งสองคน
เมื่อบิดามารดาเสียชีวิตลง "สามมุข" ก็ได้มาอาศัยอยู่กับยายจนกระทั่งโต "สามมุข" มักจะชอบมานั่งเล่นดูหนุ่มสาว รวมทั้งเด็กที่มาเล่นว่าว อยู่ริมเชิงเขาเป็นประจำ และมีเพื่อนที่คอยหยอกล้อเล่น ก็คือ ลิงป่าที่ลงมาจากเขาแถวนั้นอยู่เป็นประจำ
ขณะที่ "สามมุข" กำลังนั่งเล่นอยู่ ก็มีว่าวตัวหนึ่งได้ขาดลอยลงมาตกอยู่ตรงหน้า เธอจึงได้เก็บว่าวตัวนั้นเอาไว้ โดย "แสน" ได้วิ่งตามว่าวที่ขาดลอยมา ซึ่งทำให้ "แสน" กับ "สามมุข" ก็ได้รู้จักกัน และได้มอบว่าวตัวนั้นไว้ให้กับ "สามมุข" เป็นที่ระลึก
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็ได้พบปะกันเรื่อยมาจนเกิดเป็นความรักขึ้น และได้สาบานต่อหน้าขุนเขาแห่งนี้ว่า "ทั้งสองจะครองรักกันชั่วนิจนิรันดร หากใครผิดต่อคำสาบานนี้ จะต้องมากระโดดหน้าผานี้ตายตามกัน" โดย 'แสน' ได้มอบแหวนวงหนึ่งให้กับ 'สามมุข'
เมื่อ "กำนันบ่าย" ทราบเรื่องเข้า ก็เกิดความไม่พอใจ โดย "แสน" ได้ขอร้องผู้เป็นพ่อให้ไปสู่ขอหญิงสาวที่ตัวเองรัก เหตุนี้ยิ่งทำให้ กำนันบ่าย ไม่พอใจมากขึ้น จึงกักบริเวณ "แสน" เอาไว้ ทำให้ทั้งสองไม่ได้พบกัน และในที่สุด "กำนันบ่าย" ก็ได้ไปสู่ขอลูกสาวคนที่ทำโป๊ะ ให้กับ "แสน" และได้กำหนดพิธีแต่งงานขึ้น ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปถึงหูของ "สามมุข"
กระทั่งวันแต่งงานของ "แสน" มาถึง เมื่อแขกเริ่มทยอยเข้ามารดน้ำสังข์อวยพรให้แก่คู่บ่าวสาว "แสน" ได้ก้มหน้านิ่ง กระทั่งมีน้ำสังข์ที่หลั่งรดลงมาพร้อมแหวนที่ "แสน" จำได้เป็นอย่างดีว่าแหวนวงนี้เป็นของ "สามมุข" เมื่อ "แสน" เงยหน้าขึ้นมาก็เห็น "สามมุข" วิ่งออกไปแล้ว
ทั้งนี้ "แสน" ได้นึกถึงคำสาบานที่ได้เคยให้ไว้แก่กัน จึงได้รีบวิ่งไปที่เชิงเขา แต่ก็ปรากฏว่า "สามมุข" ได้ขึ้นไปบนหน้าผาแห่งนั้น และได้กระโดดลงมาจากหน้าผาเสียชีวิต เมื่อ "แสน" เห็นเช่นนั้น จึงตัดสินใจกระโดดตามคนรักลงไป ชาวบ้านต่างพากันเศร้าสลดใจเป็นยิ่งนัก ต่างพากันสาปแช่ง "กำนันบ่าย"
หลังจากนั้น "กำนันบ่าย" ได้นำถ้วยชามและสิ่งของต่างๆ มาไว้ในถ้ำตรงหน้าผาแห่งนั้น และได้ตั้งชื่อภูเขาลูกนี้ว่า "เขาสามมุข" และส่วนชายหาดที่ติดกัน เขาก็ให้ชื่อว่า "หาดบางแสน" เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักของคนทั้งสองคน จนถึงปัจจุบันนี้
ตั้งแต่นั้นมาทำให้ชาวบ้านในพื้นที่เรียกภูเขาที่สาวมุกกระโดดหน้าผาตายว่า "เขาสาวมุก" เพื่อระลึกถึงมุก สาวน้อยผู้มั่นคงต่อความรัก นานวันเข้าจึงเพี้ยนเป็น "สามมุข" ในที่สุด และบริเวณถ้ำนั้นเชื่อว่าเป็นถ้ำลับแลมีเครื่องถ้วยชามต่างๆ ที่กำนันบิดาของแสนนำมาไว้ เมื่อชาวบ้านมีงานบุญสามารถหยิบยืมนำไปใช้งานได้ ซึ่งภายหลังถ้ำนี้ถูกปิดปากถ้ำไปเมื่อคราวก่อสร้างถนนสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ส่วนชายหาดที่พบศพหญิงชายทั้งสองหลังจากกระโดดหน้าผาตายนั้น ชาวบ้านเรียกกันว่า "หาดบางแสน" เพื่อระลึกถึงนายแสนคนรักของสาวมุก นั่นเอง
ชาวบ้านพากันเล่าว่า "ตอนกลางคืนจะเห็นร่างหญิงสาวยืนอยู่ ตรงหน้าผานั้น" จึงได้ช่วยกันสร้างศาลนี้ขึ้น เพื่อเป็นที่สิงสถิตและเป็นที่เคารพสักการะแก่ชาวบ้านและชาวประมงเป็นอันมาก เมื่อเวลาจะออกทะเลไปหาปลา มักจะจุดประทัดบนบานขอให้ได้ปลากลับมาเต็มลำเรือ และอย่าได้ต้องเจอกับลมพายุ แต่เมื่อเจอลมพายุกลางทะเลแล้ว ยิ่งต้องจุดธูปบนเจ้าแม่สามมุขให้รอดปลอดภัยจากอันตรายแล้วก็สัมฤทธิผลเรื่อยมา
อย่างไรก็ตาม คนท้องถิ่นในชลบุรี ก่อนจะออกทะเลหาปลา มักจะเซ่นไหว้ศาลเจ้าแม่สามมุข ด้วยมะพร้าวอ่อน ขนมเปี๊ยะ และผลไม้ ส่วนแม่ค้านั้น จะบนบานเป็นมะพร้าวอ่อน ขนมครก ว่าว พวงมาลัย ผลไม้ ก็สัมฤทธิผลเรื่อยมา หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการบนไม่ให้โดนเกณฑ์ทหาร เรื่องขายที่ดิน และเรื่องสำคัญต่างๆ มักจะบนโดยการ บนบวชก็มี หรือบนเป็ด บนไก่ หัวหมู บนหนังกลางแปลงก็มี ละครรำก็มี
ทั้งนี้ เคยมีคนที่เขาสามมุขนี้ เป็นคนที่ยากจนมาจุดธูปขอไม่ให้โดนทหารว่า "หากจับได้ใบดำ จะแก้บนโดยการเดินจาก ที่ว่าการอำเภอเมืองชลบุรีมากราบไหว้เจ้าแม่สามมุข" ก็สำเร็จมาแล้ว สิ่งที่บนเจ้าแม่สามมุข ที่บนควบคู่กันมากับสิ่งอื่นก็คือ "มะพร้าวอ่อน ว่าว พวงมาลัย หรือการฉายภาพยนตร์ ลิเก"
"ตำนานเจ้าแม่เขาสามมุข" จึงกลายเป็นตำนานประจำท้องถิ่นของพื้นที่บริเวณเนินเขาขนาดเล็กที่ตำบลอ่างศิลากับพื้นที่หาดบางแสน ตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ในท้องถิ่นมักเรียกว่า ตำนานเจ้าแม่เขาสามมุก เจ้าแม่สามมุก เจ้าแม่เขาสามมุข หรือ ตำนานเจ้าพ่อแสน เจ้าพ่อบางแสน แต่โดยทั่วไปมักเรียกว่า ตำนานเจ้าแม่เขาสามมุข และเป็นตำนานที่แพร่หลายไปทั่วบริเวณชุมชนชายฝั่งทะเลตะวันออกของไทย เชื่อกันว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของชาวประมงและผู้เดินทางทางทะเลในภาคตะวันออกมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ก่อนที่ชาวประมงจะออกเดินเรือจะนำประทัดมาจุดบูชาเพื่อขอให้ช่วยในการทำมาหากินและแคล้วคลาดจากลมพายุ
ดังปรากฏหลักฐานในนิราศเมืองแกลงที่แต่งเมื่อครั้งเดินทางไปเยี่ยมบิดาราว พ.ศ.2349 ของสุนทรภู่ ที่กล่าวถึงเจ้าแม่เขาสามมุกไว้ด้วย และเมื่อถึงเทศกาลสำคัญต่างๆ อาทิ ตรุษจีน สารทจีน ชาวบ้านที่นับถือก็จะนำเครื่องเซ่นไหว้และว่าว มาเป็นเครื่องบูชากราบไหว้ที่ศาลเจ้าแม่เขาสามมุขด้วย นอกเหนือจากการบูชาของชาวประมงก่อนออกทะเล ดังว่า
"พี่แข็งขืนฝืนภาวนานิ่ง แลตลิ่งไรไรยังไกลเหลือ
เห็นเกินรอยบางปลาสร้อยอยู่ท้ายเรือ คลื่นก็เฝือฟูมฟองคะนองพราย
เห็นจวนจนบนเจ้าเขาสามมุก จงช่วยทุกข์ถึงที่จะทำถวาย
พอขาดคำน้ำขึ้นทั้งคลื่นคลาย ทั้งสายนายหน้าชื่นค่อยเฉื่อยมา"...
(บางตอนจากนิราศเมืองแกลง โดยสุนทรภู่)
ปัจจุบัน ตำนานเจ้าแม่เขาสามมุข ดำรงอยู่อย่างเข้มแข็ง เนื่องจากมีศาลสำหรับเป็นที่สักการบูชาของผู้คนตามความเชื่อ ปัจจุบันมีด้วยกัน 2 ศาล คือ ศาลเจ้าแม่เขาสามมุข (ไทย) และศาลเจ้าแม่เขาสามมุข (จีน) ทั้งนี้ศาลไทยเป็นศาลเก่าแก่ที่ใช้ตำนานประจำถิ่นความรักของสาวมุขกับหนุ่มแสนในการเผยแพร่ประวัติเจ้าแม่เขาสามมุข ส่วนศาลจีนเป็นศาลเก่าแก่ของชุมชนคนจีนที่ใช้เรื่อง "เจ้าแม่ทับทิม” ในการเผยแพร่ประวัติเจ้าแม่เขาสามมุข เนื่องจากชาวจีนที่อ่างศิลาได้อัญเชิญกระถางธูปไฮตังม่าติดเรือมาจากเมืองจีน เมื่อมาตั้งรกรากใหม่ๆที่ชลบุรี จึงได้ตั้งศาลไฮตังม่าข้างศาลเจ้าแม่เขาสามมุกเดิม และใช้ชื่อศาลว่าศาลเจ้าแม่เขาสามมุข (จีน) มาจนถึงทุกวัน
ตำนานเจ้าแม่เขาสามมุก นี้ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ เมื่อปี พ.ศ.2556 โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ในสาขาวรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา
บริวารของเจ้าแม่สามมุข
ลิงที่อาศัยบริเวณเขาสามมุข ที่มีมาแต่โบราณกาล หากมีใครมารังแกลิงหรือมาจับลิงไป มักจะล้มป่วย จะเกิดอาเพศต่างๆ เดือดร้อนกันไปทั้งครอบครัว เล่ากันว่า มีผู้มาจับลิงที่เขาสามมุขไป เพื่อประโยชน์อันใด ไม่ทราบแน่ชัด แต่พอไม่กี่วันต่อมาก็ต้องนำลิงมาคืนให้ทางศาล
ฉะนั้น หากใครที่มาเที่ยวดูลิงที่เขาสามมุข คิดจะจับลิงไปโปรดคิดสักนิด เพราะว่าหากท่านจับลิงไปแล้ว แล้วนำกลับมาคืน ลิงจะเข้าฝูงได้ยากมาก จะต้องนำมาเลี้ยงไว้ที่ศาลก่อน เพื่อให้ลิงทั้งฝูงมาเล่นด้วยจนมีกลิ่นเดียวกัน จึงนำไปเข้าฝูงได้ หากท่านนำมาปล่อยเลย ลิงทั้งฝูงจะรุมกัดจนตาย
แหล่งที่มา:
https://www.thairath.co.th/news/local/east/964380
https://sites.google.com/a/acc.msu.ac.th/khea-sam-mukh/
http://www.culture.go.th/culture_th/ewt_news.php?nid=5813&filename=i
วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร หรือที่คนนิยมเรียกว่า วัดสุทัศน์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ตั้งอยู่ใน...
วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร หรือที่คนนิยมเรียกว่า วัดสุทัศน์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรมหาวิหาร ประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ตั้งอยู่ในเขตพระนครชั้นในแขวงเสาชิงช้า โดยมีเสาชิงช้าตั้งโดดเด่นอยู่ทางด้านหน้าของวัด เป็นจุดเด่นที่ไม่ว่าใครที่นึกถึงวัดสุทัศน์ ก็ต้องนึกถึงเสาชิงช้าด้วยเช่นกัน ที่ตั้ง 146 ถนนตีทอง แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพฯ ซึ่งจะเป็นสถานที่เสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อัญเชิญจากแหล่งต่างๆ ทั่วประเทศ
ประวัติ วัดสุทัศนเทพวราราม
วัดสุทัศนเทพวราราม สร้างขึ้นระหว่าง ปี พ.ศ.2350-2351 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 เดิมพระราชทานนามว่า “วัดมหาสุทธาวาส” ต่อมาได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานของพระศรีศากยมุนี หรือพระโต พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์พระร่วงของยุคสุโขทัยที่อันเชิญมาจาก พระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย ทว่าพระวิหารยังไม่ทันสร้างเสร็จก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน ผู้คนจึงเรียกวัดแห่งนี้ด้วยนามที่เรียบง่ายว่า วัดพระโต วัดพระใหญ่ หรือ วัดเสาชิงช้า
ต่อมาถึงในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ทรงโปรดให้สร้างต่อไปและแสดงฝีพระหัตถ์ไว้เป็นอนุสรณ์โดยทรงสร้างบานประตูกลางจำหลักด้วยฝีพระหัตถ์ร่วมกับกรมหมื่นจิตรภักดีของตัวพระวิหารแห่งนี้ด้วย (ปัจจุบันบานประตูนี้เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์) แต่ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จ
หลังสิ้นรัชกาลที่ 1 วัดแห่งนี้ก็ได้มีการสร้างต่อเติมเรื่อยมาจนกระทั่งแล้วเสร็จในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 และทรงโปรดให้สร้างพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ สัตตมหาสถาน และกุฏิสำนักสงฆ์เพื่อประดิษฐานสังฆาราม หลังจากนั้นก็ได้พระราชทานนามให้ใหม่เป็น วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร พร้อมกับนิมนต์พระสงฆ์ไปจำวัดตั้งแต่รัชกาลที่ 3 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงบูรณะและสร้างสิ่งอื่นๆ ในพระอารามอีก เช่น ศาลาลอย 4 หลังหน้าพระวิหาร อีกทั้งได้พระราชทานนามพระประธานในพระวิหารว่า “พระศรีศากยมุนี” พระประธานในพระอุโบสถว่า “พระพุทธตรีโลกเชษฐ์” และพระประธานในศาลาการเปรียญว่า “พระพุทธเสรฏฐมุนี” ซึ่งหล่อจากกลักฝิ่น เมื่อถึงรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะพระอารามเป็นการใหญ่ โดยกรมโยธาธิการเป็นผู้ดำเนินการให้มีการซ่อมแซมพระวิหารพระศรีศากยมุนีและซ่อมพระอุโบสถเพิ่มเติมเช่นกัน
ภายในวัดสุทัศนเทพวรารามเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และได้อัญเชิญ พระบรมราชสรีรางคารของพระองค์ มาบรรจุที่ผ้าทิพย์ด้านหน้าพุทธบัลลังก์พระศรีศากยมุนีเมื่อ พ.ศ.2493 และมีพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรในวันที่ 9 มิถุนายนของทุกปี
ในระหว่างพ.ศ.2515-2516 ทางวัดได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ขึ้นที่บริเวณหน้าพระวิหาร และตั้งมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ขึ้นใน พ.ศ.2516
ด้านประวัติการก่อสร้างนั้น วัดสุทัศนเทพวราราม สร้างตามผังที่เป็นพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แบ่งอาณาบริเวณออกเป็น 2 เขต คือ เขตพุทธาวาส อยู่ทางเหนือ มีพระอุโบสถ พระวิหาร พระระเบียง วิหารทิศ ศาลาราย และสัตตมหาสถาน ส่วนเขตสังฆาวาส อยู่ทางใต้ ประกอบด้วยกุฏิ เสนาสนะ ศาลาการเปรียญ และหอระฆัง ซึ่งเป็นอารามหลวง ที่ออกแบบเพื่อเป็นกลางจักรวาล และศูนย์กลางพระนคร จึงเป็นที่ประกอบพระราชพิธีและรัฐพิธีเสมอมาถึงปัจจุบัน
สถาปัตยกรรมที่สำคัญ
พระอุโบสถ มีความงามตามแบบสถาปัตยกรรมไทยโบราณสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น กล่าวคือ ตัวพระอุโบสถก่ออิฐถือปูน กว้าง 22.60 เมตร ยาว 72.25 หน้ามุขกระสันกว้าง 14.00 เมตร ยาว 10.40 เมตร สร้างอยู่บนฐานไพทีชั้นที่ 2 มีเฉลียงรอบทั้ง 4 ด้าน มีเสาพระอุโบสถมีทั้งหมด 62 ต้น เสาแต่ละต้นมีลักษณะ 4 เหลี่ยมเท่ากัน ปิดทองล่องชาดลายดอกไม้ ซุ้มประตูหน้าต่างทรงบัวเจิมยอดแหลมคล้ายทรงมงกุฎ ปิดทองประดับกระจกฐานพระอุโบสถ ประกอบด้วยกระดานฐานสิงห์คั่นปัดลูกแก้ว ไม่มีลวดลายระหว่างโคนเสาเฉลียงด้านนอกมีผนังก่ออิฐ คั่นเป็นห้องๆ สูง 1.22 เมตร ด้านในเจาะคูหาเล็กๆ สำหรับใส่ตะเกียงบูชา เพื่อบูชาประทีปในงานนักขัตฤกษ์สมัยโบราณห้องละ 5 คูหาหลังคาอุโบสถมีลักษณะเป็นทรงไทยโบราณ 4 ชั้น 3 ลด มีมุขกระสันหน้าหลังมุงกระเบื้องเคลือบสามสี ประกอบด้วยช่อฟ้ากระจกมุขหน้า 4 ตัว รวม 8 ตัว หางหงส์ 64 ตัว ไม่มีคันทวย หน้าบันด้านทิศตะวันออกมีภาพพระอาทิตย์เทพเจ้าให้แสงสว่าง มีผิวกายแดง หน้าบันด้านทิศตะวันตกมีภาพพระจันทร์มีผิวกายขาว พื้นลายหน้าบันทั้งสองข้างมีลายกรอบคั่นกลางเหมือนลายพระอาทิตย์ พระจันทร์และลายใบเทศหางโตประดับดัวยกระจกสีน้ำเงิน สีแดง สีขาว สีเหลือง สีเขียวสลับกัน ซุ้มเสมา ชั้นล่างเป็นฐานหน้ากระดานมีดอกบัวคว่ำ ถัดขึ้นไปเป็นท้องไม้ใส่ลูกฟักหินดุนที่สลักลายดอกกลาง ถัดขึ้นไปเป็นบัวหงายและหน้ากระดานเป็นบัวท้องปลิง ชั้นกลางซุ้มเป็นที่ประดิษฐานใบเสมาหินอ่อนสีขาวเทา ชั้นปลายเป็นลายดอกไม้ทรงโค้ง ประดุจกระจังหน้านาง ด้านบนเป็นบัวหงายกลีบซ้อน ข้างบนมียอดปล้องๆ เรียวเล็กตามลำดับดุจปล้องไฉน 5 ปล้อง ปล้องที่ 6 เป็นปลีบัวหงายคั่นด้วยลูกแก้วระหว่างปลีบัวหงาย ปลายยอดสุดเป็นหยาดน้ำค้าง
พระวิหาร มีความงามตามแบบสถาปัตยกรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยถ่ายทอดมาจากพระวิหารมงคลบพิตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวคือ พระวิหารมีขนาดกว้าง 23.84 เมตร ขนาดยาว 26.35 เมตร สร้างบนฐานไพทีชั้นที่ 2 ซึ่งก่ออิฐถือปูนมั่นคง ฐานไพทีประกอบด้วยกระดานฐานสิงห์บัวลูกแก้ว สูง 62 เซนติเมตร มีพนักสูง 85 เซนติเมตร ก่ออิฐกระเบื้องปรุตาโปร่งเคลือบสีเขียวพื้นฐานไพทีปูกระเบื้องดินเผาสีแดง 8 เหลี่ยม หลังคาพระวิหารเป็นทรงไทยโบราณ 2 ชั้นลด 1 มีเฉลียงซ้ายขวามุงกระเบื้องเคลือบสี ประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ด้านหน้าและด้านหลังพระวิหารมีประตูเข้าสู่พระวิหารด้านละ 3 ประตู เป็นประตูสลักไม้ สร้างในรัชกาลที่ 2 กล่าวกันว่าบานประตูพระวิหารของวัดสุทัศน์เป็นฝีพระหัตถ์รัชกาลที่ 2 นับเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกชิ้นหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 2
พระวิหารคต หรือพระระเบียง สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ล้อมพระวิหารพระศรีศากยมุนีทั้งสี่ด้าน มีหลังคาเป็นทรงไทยโบราณกระเบื้องเคลือบพื้นสีเหลือง ขอบสีเขียวใบไม้ และมีช่อฟ้า หางหงส์ หน้าบันพระวิหารคตสลักภาพพระนารายณ์ทรงสุบรรณ มีโคมกรอบลายคั่นพื้นลายทั้งหมด ประกอบด้วยลายใบเทศหางโตกนกเปลวและหางโตก้านขด สลักบนไม้แรเงาลวดลาย ปิดทองประดับกระจกทั้งหมด ใต้ลายหน้าบันลงมาประกอบด้วยกระจังฐานพระซึ่งประกอบด้วยกระจังใบเทศหน้ากระดาน บัวหงาย ลูกแก้ว และกระจังรวน ฯลฯ ความวิจิตรสวยงามของลวดลายหน้าบันนี้ยากที่จะหาหน้าบันวิหารคตใดมาเทียบได้
พระวิหารคดด้านในมีเสารายรับหลังคาเฉลียงลดเป็นห้องๆ เสาทุกต้นเป็นสี่เหลี่ยม มีบัวท้องปลิง ท้องสะพานเหนือปลายเสาทาสีแดง ปิดทองฉลุลายดอกแก้วแกมกนกเกลียว เพดานทาสีแดงมีลายกรอบแว่นประดับดาวทองล้อมเดือนทุกห้อง ขื่อทาสีเขียวปิดทองประดับลายกรวยเชิง
ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช เดิมใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทวมหาเถร) ซึ่งเป็นพระสังฆราชองค์ที่ 12 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นตึกหลังใหญ่ชั้นเดียว
ศาลาวิหารทิศ เป็นศาลาทรงไทย 4 หลัง อยู่บนพื้นไพทีรอบมุมพระวิหารทั้ง 4 ทิศ เป็นศาลาโถง ด้านสกัดและด้านหลังก่ออิฐถือปูนด้วยกระเบื้องปรุตาโปร่ง เครื่องบนทำด้วยไม้ทั้งหมด ใบระกา หางหงส์ เชิงชายทั้งหมดเป็นไม้สัก หน้าบันแกะสลักด้วยลายดอกไม้ ประดับด้วยกระจังฐานพระปิดทองประดับกระจก
ศาลาลอย มี 4 แห่ง สร้างชิดแนวกำแพงด้านหน้าพระวิหารแถบเหนือที่เรียกกันว่า ศาลาลอย เพราะมีพื้นสูงตั้งอยู่เหนือกำแพงมองดูเด่นเป็นสง่า มีหลังคาเป็นทรงไทยมุงกระเบื้องเคลือบสี ไม่มีช่อฟ้า หางหงส์ หน้าบันปั้นด้วยปูนลายดอกไม้ เสาทั้งหมดสี่เหลี่ยมมีบัวทองเปลวทาสีขาว โดยรอบเฉลียงไม่มีฝาเปิดโล่งทั้ง 4 ด้าน
หอระฆัง สร้างอยู่ในเขตสังฆาวาส ก่อด้วยอิฐถือปูนลักษณะเป็นแปดเหลี่ยมตั้งแต่ฐาน แต่พื้นดินขึ้นไปเป็นหน้ากระดานบัวคว่ำท่อนที่ 2 เป็นหน้ากระดานบัวหงาย ผนังคูหาแต่ละมุมก่ออิฐตัน สร้างเป็นซุ้มคูหา ด้านนอก ชั้นที่ 3 เจาะช่องเป็นคูหา 8 ช่องเพื่อให้แลเห็นระฆังที่แขวนหลังคา ก่ออิฐถือปูนทำเป็นทรงบัวตูมอ่อน
ลำดับเจ้าอาวาส
เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม จากอดีตถึงปัจจุบัน มี 8 รูปดังนี้
1. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อู่) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี 2386-2401 รวม 14 ปี
2. พระพิมลธรรม (อ้น ป.ธ.8) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสไม่ได้ระบุแน่ชัด
3. สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน ป.ธ.8) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ไม่ได้ระบุ พ.ศ.ไว้แน่ชัด แต่รวมได้ 23 ปี
4. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก (แพ ติสฺสเทโว ป.ธ.5) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสไม่ได้ระบุไว้แน่ชัด
5. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โสม ฉนฺโน ป.ธ.5) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ตั้งแต่ปี 2489-2505 รวม 16 ปี
6. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม จนฺทสิริ ป.ธ.6) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสไม่ได้ระบุไว้แน่ชัด
7. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี ป.ธ.9) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ตั้งแต่ปี 2527-2559 รวม 32 ปี
8. พระธรรมรัตนดิลก (เชิด จิตฺตคุตฺโต ป.ธ.9) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ตั้งแต่ปี 2559 -ปัจจุบัน
ตำนาน เปรตวัดสุทัศน์
แน่นอนว่าต้องมีคนคุ้นหูกับ ตำนานเปรตวัดสุทัศน์ ไม่มากก็น้อย แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่า วัดสุทัศนเทพวราราม เคยมีเปรตจริงหรือไม่ เพราะเป็นเพียงความเชื่อและข้อสันนิษฐานจากเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาตั้งแต่ในอดีตเท่านั้น ด้วยมีคนเชื่อว่าเคยเห็นเปรตในบริเวณวัดสุทัศน์ในยามค่ำคืน แต่แท้จริงแล้วเป็นเงาของเสาชิงช้าที่คนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเปรตนั่นเอง นอกจากนี้ภายในพระวิหารก็ยังมีเสาต้นหนึ่ง ใกล้ๆ กับองค์ พระศรีศากยมุนี ปรากฏให้เห็นภาพจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงมากในอดีต คือภาพของเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายโดยมีพระสงฆ์ยืนพิจรณาสังขาร ซึ่งเป็นไปได้ว่า ภาพนี้อาจเป็นที่มาของ “เปรตวัดสุทัศน์” ก็เป็นได้
แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์ เป็นตำนานที่เกิดขึ้นจริง เรื่องราวของวัดสระเกศ (ภูเขาทอง) ในอดีตเคยศูนย์รวมของแร้งนับพันอันเนื่องมาจากโรคห่าระบาดเมืองในช่วงรัชกาลที่ 2 มีคนตายหลายหมื่นคนในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วน กลายเป็นเมืองแห่งคนตาย ทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยซากศพ เหล่าหมู่คนจะมานั่งทำพิธีเผาศพก็ไม่ไหวเพราะมีศพจำนวนมากเกิน วิธีที่จัดการได้ดีที่สุดในตอนนั้นคือ ขุดหลุมแล้วเอาศพมากองรวมกันไว้ที่วัดสระเกศแห่งนี้ และเมื่อมีซากศพเป็นอาหาร ฝูงแร้งก็มาอาศัยที่วัดแห่งนี้เป็นจำนวนมาก และนอกจากคนที่ตายด้วยโรคห่า ศพอื่นๆ เริ่มถูกมากองรวมกันไว้ที่วัดแห่งนี้ และสาเหตุที่ต้องเป็นวัดสระเกศก็เพราะ เมื่อสมัยก่อนนั้นมีกฎห้ามเผาศพกันในเมือง และประตูเมืองที่สามารถนำศพผ่านได้ก็มีอยู่ประตูเดียวที่เรียกกันว่าประตูผี ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดสระเกศมากที่สุดนั่นเอง
แล้วทำไมต้องเป็นวัดสระเกศ บอกก่อนว่าสมัยก่อนเขาห้ามเผาศพกันในเมือง ใครตายก็ต้องนำศพไปไวที่นอกกำแพงเมือง แล้วประตูเมืองที่อนุญาตให้เอาศพผ่านมีเพียงประตูเดียว ที่เรียกว่า ประตูผี และวัดสระเกศก็อยู่ใกล้กับประตูผี ผ่านประตูเมืองก็เจอกับวัดสระเกศเป็นวัดแรก ก็เลยต้องเอาศพมาทิ้งไว้ที่นี่ เพราะน่าจะเป็นสถานที่ที่สะดวกที่สุด
เมื่อเอ่ยถึงวัดสระเกศ จะต้องนึกถึงเปรตวัดสุทัศน์ ก็จะดูเหมือนเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ เพราะมักจะได้ยินสองอย่างนี้คู่กันเสมอ สำหรับเปรตนั้น เป็นชื่อเรียกผีหรือมนุษย์ที่ทำบาปทำกรรมหนักหนาสาหัส เมื่อตายไปก็ต้องมาเกิดเป็นเปรตเพื่อชดใช้กรรมที่ทำไว้เมื่อยังเป็นมนุษย์ เปรตนั้นก็มีหลายประเภทหลากลักษณะด้วยกัน แต่ภาพของเปรตที่คนส่วนมากจะคิดถึงก็คือต้องมีตัวสูงเท่าต้นตาล มือเท้าใหญ่เหมือนใบลาน ปากเท่ารูเข็ม ส่งเสียงร้องหวีดๆ ตอนกลางคืน และมักมาปรากฎตัวให้เห็นตอนกลางดึกเพื่อขอส่วนบุญ ส่วนคนที่ได้เห็นเปรตก็ถือว่าช่วยนั้นดวงตกต้องไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เปรตตนนั้นเสีย
ความเชื่อแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์เกี่ยวกับเรื่องราวของเปรตแห่งวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ที่เล่ากันว่าที่วัดแห่งนี้มักมีเปรตปรากฎกายในเวลากลางคืนเป็นที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ประกอบกับอหิวาตกโณคที่ระบาดจนมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 จนเผาศพแทบไม่ทัน ณ วัดสระเกศ จนมีคำกล่าวคล้องจองกันว่า "เปรตวัดสุทัศน์ แร้งวัดสระเกศ" ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เรื่องเล่าเปรตวัดสุทัศน์นั้น มาจากภาพวาดบนฝาผนังในอุโบรถ ที่เป็นรูปเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่ และมีพระสงฆ์ยืนพิจารณาอยู่ ซึ่งภาพนี้มีชื่อเสียงมากในสมัยอดีต เป็นที่เลื่องลือกันของผู้ที่ไปที่วัดแห่งนี้ว่าต้องไปดู และสิ่งที่ผู้คนเห็นว่าเป็นเปรตนั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณวัดแห่งนี้มายาวนานบอกว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นเงาของเสาชิงช้าที่อยู่หน้าวัด ในสายหมอกยามเช้าต่างหาก
แหล่งที่มา:
https://travel.trueid.net/detail/2RvMAOjQ4K8z
http://www.resource.lib.su.ac.th/rattanakosin/index.php/2014-10-27-08-52-05/2014-10-29-02-26-23/2015-10-19-03-26-15/2017-03-14-06-20-57
https://www.posttoday.com/lifestyle/583546